ทุกวันนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 0.50% นั่นแปลว่า หากเรามีเงินเก็บ 100,000 บาท สิ้นปีเราจะได้รับดอกเบี้ยเพียง 500 บาทเท่านั้น
เงินฝากนับได้ว่าเป็นหนึ่งในทางเลือกของการลงทุนที่ทุกคนรู้จักกันมากที่สุด เพราะเข้าใจได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่ต่ำมากๆ แต่จุดอ่อนของการฝากเงินก็คือผลตอบแทนน้อย อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นทางเลือกที่คนให้ความนิยมมากที่สุดอยู่ดี เพราะถ้าไปลงทุนอย่างอื่นเพื่อหวังผลตอบแทนสูงขึ้น ก็ต้องแลกกับ "ความเสี่ยง" ที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว รวมถึงต้องใช้เวลาศึกษามากขึ้นด้วย เงินออมของคนมากมายจึงถูกจำกัดให้อยู่แค่ในบัญชีเงินฝากเท่านั้น
คำถามคือ จะเป็นไปได้ไหมที่เงินออมของเรา จะมีทางเลือกในการทำให้เงินงอกเงยมากขึ้น เลือกความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเองได้ และไม่ว่าใครก็สามารถลงทุนได้ในสภาวะตลาดที่ผันผวน แม้จะไม่มีเวลาติดตามการลงทุนเลย
ขอเชิญพบกับ ttb smart port ทางเลือกในการลงทุนแบบใหม่ ที่ง่าย และเหมาะกับคนทุกสไตล์
ttb smart port คืออะไร
ttb smart port คือบริการจัดพอร์ตลงทุนในกองทุนรวมแบบครบวงจร เพื่อให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น และเลือกแผนการลงทุนที่ตอบโจทย์เป้าหมายของตัวเองได้มากที่สุด โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลพอร์ตการลงทุนให้อย่างใกล้ชิด
โดยทั่วไปแล้ว การจัดพอร์ตการลงทุนและออกแบบแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายตัวเองนั้น ต้องใช้เวลาในการหาข้อมูล รวมถึงบริการจัดพอร์ตดังกล่าวมักจะมีไว้ให้บริการสำหรับลูกค้ารายใหญ่เป็นหลัก แต่ทุกวันนี้ ด้วยนวัตกรรมทางการเงินของ ttb ทำให้บุคคลทั่วไปที่สนใจก็สามารถใช้บริการ ttb smart port นี้ได้อย่างง่ายดาย เสมือนว่ามีผู้เชี่ยวชาญเรื่องการวางแผนการเงินและการลงทุนส่วนตัวก็ว่าได้
เช่น สมมติเรามีเป้าหมายว่าอยากจะมีเงินก้อนสัก 500,000 บาทไว้ลงทุนทำธุรกิจในอีก 3 ปีข้างหน้า เพียงแค่เราเข้าไปที่เว็บไซต์ www.ttbbank.com/tsp แล้วกดลองตั้งเป้าหมายทางการเงิน กรอกข้อมูลที่จำเป็น แล้วเลือกระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โปรแกรมก็จะคำนวณให้อัตโนมัติ ว่าเราต้องลงทุนด้วยเงินต้นเท่าไหร่ ลงทุนเพิ่มอีกเดือนละเท่าไหร่ เท่านี้เราก็จะได้ “แผนการลงทุน” เบื้องต้นมาแล้ว ที่ทำให้เรารู้ได้ว่าต้องวางแผนการลงทุนประมาณไหน ลงทุนเท่าไหร่ และต้องลงทุนในกองทุนไหน
ttb smart port แต่ละแบบ
โดยประเภทของกองทุนที่เราลงทุนได้ ก็จะขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่เราเลือกว่ายอมรับได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจุบัน ttb smart port จะมีรูปแบบกองทุนให้เลือกอยู่ทั้งหมด 5 แบบ (และแต่ละแบบจะมีทั้งกองทุนแบบปกติและกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษี) ประกอบด้วย
1. tsp1-preserver
เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนต่อในกองทุนรวมอื่นทั้งในและต่างประเทศ โดยเน้นไปที่การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้
2. tsp2-nurturer
เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนต่อในกองทุนรวมอื่นทั้งในและต่างประเทศ โดยเป็นกองทุนผสม เน้นไปที่การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ และลงทุนในกองทุนตราสารทุนเล็กน้อย (ในเดือนเมษายนปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 19% ของมูลค่ากองทุนรวมทั้งหมด)
3. tsp3-balancer
เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนต่อในกองทุนรวมอื่นทั้งในและต่างประเทศ โดยเป็นกองทุนผสม ที่ลงทุนทั้งในกองทุนรวมตราสารหนี้ และกองทุนตราสารทุน ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน (ในเดือนเมษายนปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 49% ของมูลค่ากองทุนรวมทั้งหมด)
4. tsp4-explorer
เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนต่อในกองทุนรวมอื่นทั้งในและต่างประเทศ โดยเป็นกองทุนผสม ลงทุนทั้งในกองทุนรวมตราสารหนี้ และกองทุนตราสารทุน แต่จะเน้นการลงทุนในกองทุนตราสารทุนมากขึ้น (ในเดือนเมษายนปี 2565 อยู่ที่ประมาณ 67% ของมูลค่ากองทุนรวมทั้งหมด)
5. tsp5-gogetter
เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนต่อในกองทุนรวมอื่นทั้งในและต่างประเทศ โดยเน้นไปที่กองทุนตราสารทุน
กองทุน ttb smart port ทั้ง 5 แบบนั้นมีการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละอย่างที่ต่างกันออกไป ตั้งแต่ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ล้วนๆ ไปจนถึงลงทุนในกองทุนตราสารทุนล้วนๆ เช่นกัน และแต่ละแบบก็จะมีความเสี่ยงกองทุนที่ต่างกันออกไปด้วย ยิ่งลงทุนในตราสารหนี้มากๆ ระดับความเสี่ยงก็น้อยกว่า ยิ่งลงทุนในตราสารทุนมากๆ ระดับความเสี่ยงก็จะสูงขึ้น แต่ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากขึ้น
จุดเด่นของ ttb smart port
จะเห็นได้ว่า ผู้ลงทุนสามารถเลือกประเภทกองทุนให้สอดคล้องกับแผนที่วางไว้ได้อย่างง่ายดาย ในหน้าเว็บของ ttb smart port เราสามารถปรับตัวเลขการคำนวณได้ตามความเหมาะสม จากตัวอย่างเดิมที่เราต้องการเก็บเงิน 500,000 บาทในระยะเวลา 3 ปี หากเราเลือกยอมรับความเสี่ยงได้สูง เงินที่ต้องเก็บเพื่อลงทุนต่อเดือนก็จะน้อย แต่ก็อาจต้องรับความเสี่ยงสูงเกินไป เราก็เลือกเปลี่ยนแผนเพื่อรับความเสี่ยงที่ต่ำลงมาอีกนิดหน่อย อาจต้องเก็บเงินต่อเดือนมากขึ้น แต่ก็รับความเสี่ยงน้อยลง แบบนี้เป็นต้น และทั้งหมดนี้เราสามารถวางแผนได้เองอย่างง่ายดายผ่านมือถือ นี่คือจุดเด่นประการแรกของ ttb smart port
ประการที่สอง เราไม่จำเป็นต้องจับจังหวะลงทุนอะไรเลย เพราะโปรแกรมวางแผนลงทุนของ ttb smart port จะอยู่บนแนวคิดของการทยอยซื้อสะสมทุกเดือน (DCA) เป็นหลัก หากเราต้องมาคอยจับจังหวะลงทุนเอง ยิ่งช่วงที่ภาวะตลาดผันผวนสูง การจับจังหวะมากไปอาจยิ่งทำให้เราต้องซื้อในราคาที่แพงกว่าเดิม การลงทุนแบบ DCA จึงทำให้ลดความเสี่ยงในการต้องมาจับจังหวะลงทุนไปได้ไม่น้อย
ประการที่สาม กองทุนของ ttb smart port บริหารจัดการโดยมืออาชีพจาก Amundi Asset Management บริษัทจัดการสินทรัพย์อันดับหนึ่งในยุโรป และ Thanachart Fund Eastspring ผู้เชี่ยวชาญแนวหน้าของเอเชียที่มีความชำนาญในตลาดทุนไทยมากกว่า 25 ปี ที่จะคอยดูแลและปรับพอร์ตการลงทุนให้เราอย่างสม่ำเสมอตามภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
ประการที่สี่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า ยิ่งกองทุนรวมมีค่าธรรมเนียมแรกเข้าน้อยเท่าไหร่ ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
และประการสุดท้าย บริการทั้งหมดนี้ของ ttb smart port สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินเพียง 1 บาทเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนก่อนแต่อย่างใด นับว่าเป็นข้อดีที่สำคัญมาก เพราะการวางแผนการเงินและการลงทุนที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเริ่มต้นด้วยเงินมากน้อยแค่ไหน ความสำคัญอยู่ที่เราได้เริ่มแล้วหรือยัง การที่เงินลงทุนขั้นต่ำน้อยนับเป็นโอกาสให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงทางเลือกในการทำให้เงินออมเติบโตได้
หากใครสนใจ สามารถทดลองวางแผนลงทุนด้วยตัวเองได้ฟรีที่ www.ttbbank.com/tsp และหากเลือกแผนการลงทุนที่ใช่ได้แล้ว ก็สามารถเริ่มลงทุนได้เลยผ่านแอป ttb touch หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ttb investment line โทร.1428 กด #4 ทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:30 น. (ยกเว้นวันหยุดธนาคาร) และ ทีทีบี ทุกสาขา
เพิ่มทางเลือกให้กับเงินออมของคุณได้แล้วตั้งแต่วันนี้ อย่าลืม ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เงินมากหรือน้อย อยู่ที่ว่าเราได้เริ่มแล้วหรือยัง
บทความนี้เป็น Advertorial