จริงหรือไม่? เมื่อยิ่งรวยยิ่งร้ายกาจมากขึ้น

" ยิ่งเรารวยมากขึ้น... เราจะเมตตาเห็นอกเห็นใจผู้อื่นน้อยลง และจะมัวแต่สนใจแต่เรื่องของตัวเองมากขึ้น"

จากการสำรวจและงานวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าคนที่ร่ำรวยกว่ามักจะโลภและสนใจแต่ตัวเองเป็นหลัก จะช่วยเหลือสังคมน้อยลง และบางคนก็จะยอมโกงและแหกกฎหมาย ถ้าทำให้พวกเขาได้เปรียบ เราอาจจะค้านคนร่ำรวยอยู่ร่ำไป ว่า พวกนี้เป็นคนเลวร้าย เป็นพวกบูชาทุนนิยม เป็นพวกหน้าเงิน เห็นแก่ตัว แต่เราอย่าเพิ่งมองโลกแง่ร้ายเกินไป เพราะแค่เพียงเรากระตุ้นสะกิดใจคนรวยสักนิดว่าให้เขาลองคิดถึงประโยชน์ในการ ร่วมไม้ร่วมมือกันและคำนึงถึงชุมชนบ้าง แค่นี้ก็จะช่วยให้คนรวยตระหนักถึงความเสมอภาคและเอาใจใส่คนรอบข้างมากขึ้น ได้ ผลการวิจัยที่น่าสนใจ รวบรวมมาได้ดังนี้

1. เมื่อเราอยู่สถานการณ์ได้เปรียบ คนเรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเป็นเพราะเราเก่ง

มีการทดลองให้คนจับคู่กันเล่นเกมเศรษฐีกระดาน แล้วเสี่ยงทายก่อนว่าใครจะเป็นคนรวยซึ่งจะได้สิทธิพิเศษทอยลูกเต๋าได้สองตา รับเงินได้สองเท่า ซึ่งได้เปรียบมากกว่าอีกคนที่จะเล่นเป็นคนจน ผลการทดลองพบว่า คนที่เล่นเป็นคนรวยจะเดินหมากด้วยท่าทีมั่นใจ เสียงดัง ดีใจ แถมกินขนมบนโต๊ะมากกว่าคนที่เล่นเป็นคนจนซะอีก เมื่อเกมจบ คนรวยก็จะเล่าถึงความเก่งความสำเร็จของตนเองว่าเล่นชนะ

2. คนรายได้น้อยกว่า มักจะใจดีมากกว่า

มีการทดลอง คัดกลุ่มคนรวยมีรายได้มากและกลุ่มคนจนมีรายได้น้อย แล้วให้เงิน10ดอลลาร์สหรัฐเท่ากันทุกคน แล้วถามว่าให้เลือกระหว่างเก็บเงินนี้ไว้กับตัวเอง หรือจะแบ่งบางส่วนให้คนแปลกหน้า พบว่า คนมีรายได้น้อยกว่า มีแนวโน้มแบ่งเงินให้คนแปลกหน้ามากกว่ากลุ่มคนรวย

3. สัดส่วน % การบริจาคยิ่งลดลงเมื่อคนยิ่งรวยมากขึ้น

ผลการสำรวจจากฐานข้อมูลการบริจาคในสหรัฐ พบว่าครอบครัวที่มีรายได้50,000-75,000$ บริจาค7.6%ของรายได้ให้แก่องค์กรการกุศล ในขณะที่ครอบครัวที่มีรายได้100,000$หรือมากกว่าจะบริจาคประมาณ4.2% คนรวยที่มีเพื่อนบ้านใกล้เคียงรวยใกล้เคียงกัน จะบริจาคน้อยกว่าคนรวยที่มีเพื่อนบ้านฐานะการเงินหลากหลาย และกลุ่มคนที่มีรายได้มากกว่า200,000$ บริจาคเพียง2.8%จากรายได้พวกเขา

4. คนรวยมักจะไม่ค่อยสนใจคนเดินถนน ในแคลิฟอร์เนียร์มีกฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องหยุดเพื่อให้คนข้ามถนน

นักวิจัยสังเกตว่า ถ้าใครขับรถยนต์รุ่นยี่ห้อแพงๆ เกือบ50%จะไม่ค่อยหยุดรถให้คนข้ามถนน หมายความว่าคนรวยบางส่วนไม่ทำตามกฎหมายนั่นเอง ส่วนกลุ่มคนที่ขับรถยี่ห้อราคาถูกๆ 100% จะหยุดรถให้คนข้าม

5. ความยากจนขัดขวางการทำงานของสมอง

มีการทดสอบไอคิวของเกษตรกรในช่วงเวลาก่อนและหลังฤดูเก็บเกี่ยว พบว่าเกษตรกรที่ยากจนจะทำคะแนนIQได้ลดลง เพราะว่าความกังวลเรื่องเงินทองทำให้กลุ่มนี้นอนไม่หลับ ส่วนเกษตรกรที่รวยIQก่อนและหลังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร

6. คนที่มีเงินน้อยกว่า จะมองเห็นการแสดงอารมณ์ทางใบหน้าของคนอื่นมากกว่าคนรวย

มีการทดลองแบ่งเป็นสองกลุ่ม คัดกลุ่มคนรวย และกลุ่มคนจนมา ให้ทุกคนวิเคราะห์ว่า

  • ใบหน้าในรูปภาพสื่ออารมณ์ใด
  • ให้ดูเทปการสัมภาษณ์งานของคนแปลกหน้าคนหนึ่งแล้วให้แยกแยะอารมณ์บนใบหน้า พบว่ากลุ่มคนจนสามารถจับอารมณ์บนใบหน้าได้ดีกว่าคนรวยในทั้งสองการทดลอง กล่าวได้ว่าคนจนมี emotional intelligence มากกว่าเพราะสามารถเข้าถึงใจผู้อื่นได้ดี แต่ที่น่าแปลกคือ ถ้าเราบอกคนรวยก่อนทำการทดลองว่าให้ลองจินตนาการตัวเองเป็นคนจน คนรวยกลุ่มนี้กลับสามารถแยกแยะสีหน้าอารมณ์ได้ดีขึ้น สวนทางกับพวกตาบอดเพราะความรวย เป็นอย่างไรบ้างกับผลการทดลองที่สะท้อนความเป็นจริงในสังคมของเรา บทความนี้ไม่ได้ต้องการบอกว่าคนรวยเลวร้ายหรือการมีเงินเยอะกว่าเป็นเรื่อง ไม่ดี แต่กำลังจะเตือนสติพวกเราว่า ถ้าเรารวยมากขึ้น เรายิ่งต้องแบ่งปันคนอื่นมากขึ้น เพื่อให้สังคมนี้น่าอยู่ต่างหาก การแบ่งปัน จะทำให้เราเป็นคนรวยที่น่ารักที่สุดในโลก

ที่มา : http://blog.ted.com/2013/12/20/6-studies-of-money-and-the-mind/