คำถามนี้เป็นคำถามที่พบบ่อยๆมากเลยครับ โดยเฉพาะช่วงไหนที่เพื่อนๆชาวแฟนเพจ TarKawin มีเงินก้อนเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการได้โบนัส ถูกหวย ได้รับมรดก หรือได้เงินก้อนมาด้วยวิธีการใดก็ตาม

ทีนี้คำถามก็มีอยู่ว่า ถ้าเรา DCA อยู่แล้วและได้เงินก้อนมาอีกก้อนหนึ่ง เราจะเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนยังไงดี?

ผมแชร์ประสบการณ์ให้ฟังนะครับ

สมัยตอนที่ผมทำงานประจำ ในช่วงเดือนมกรา - เดือนมีนาคมจะเป็นช่วงที่เราได้โบนัสกันและมักจะเป็นก้อนใหญ่ซะด้วย ทีนี้บางคนก็ DCA เดือนละ 5,000 บาทอยู่ พอได้เงินโบนัสมา แล้วจะแบ่งส่วนหนึ่งมา 50,000 บาทเพิ่มลงทุนเพิ่ม (อย่าลงทุนอย่างเดียวนะ ได้เงินมาก็ใช้ในเรื่องความสุขด้วย เลี้ยงข้าวพี่ต้าร์ก็ได้ ฮ่าๆ) ก็จะมีประเด็นเกิดขึ้น ซึ่งทางออกของเรามักจะเป็นแบบนี้กันนะครับ

1. ทุ่ม 50,000 บาทลงไปเลยดีไหม?

2. เอามาทยอย DCA เพิ่มดีไหม?

จากประสบการณ์ของผมเนี่ย เวลาที่เราลงทุนมาระยะเวลาหนึ่งแล้วได้เงินก้อนมา บางทีหากเราใจร้อน ได้เงินมาปุ๊ป เอาไปทุ่มลงในหุ้นทันทีเพราะบางทีเราอยากจะให้เป้าหมายไปถึงได้เร็วๆ ซึ่งการลงทุนแบบไม่ได้ดูอะไรเลยก็เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงนะครับ อาจจะติดดอยในเงินก้อนนั้นก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นหุ้นดีมีเทรนการเติบโต ก็อาจจะดอยอย่างมีระยะเวลา แต่ลึกๆผมก็รู้สึกเสียโอกาสจากความใจร้อนของเรานะ

ผมเลยจะ “ทยอย DCA เพิ่มไป”

ปกติถ้าเรา DCA เดือนละ 5,000 อยู่แล้ว เราอาจจะเพิ่มก็ได้นะ ลองเอาตัวเลขเงินที่เราจะ DCA เพิ่มมาหารจำนวนเดือนดู โดยหลักการคือนำเงินมาหารจะนวนเงินที่จะเพิ่มต่อเดือนว่าจะทำให้เรา DCA เพิ่มได้กี่เดือน

DCA เพิ่มเดือนละ 1,000 บาท จะได้ 50 เดือน
DCA เพิ่มเดือนละ 2,000 บาท จะได้ 25 เดือน
DCA เพิ่มเดือนละ 3,000 บาท จะได้ 16 เดือน

ซึ่งพอมันมีทางเลือกแบบนี้ ก็แล้วแต่ว่าเราจะเลือกแบบไหน ส่วนตัวผมเองจะมองว่า โอกาสที่เราจะเพิ่มเงินอนาคตจากโบนัสในปีหน้ามันก็มี ถ้าเราเลือก เพิ่มเดือนละ 3,000 บาท นั่นคือลงทุนเดือนละ 8,000 บาท

พอผ่านไป 12 เดือน เราอาจจะได้โบนัสมาอีกก้อนก็ได้แถมได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นอีก ฐานของการ DCA รายเดือนของเราก็จะเพิ่มขึ้นได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล แต่ไม่ผิดนะครับที่จะไม่เพิ่มหรือจะเพิ่มแค่ 1,000 - 2,000 บาทต่อเดือน เพียงแค่เราจะมีเงินก้อนอยู่ในมือเยอะที่ไม่ได้ลงทุนในเวลานั้นๆถ้าสมมติว่าเราไม่ได้นำไปใช้จ่ายในเรื่องอื่น

ด้วยระบบแบบที่ผมทำ ในแต่ละปีถ้าเงินเดือนเราเยอะขึ้น โบนัสเรามากขึ้น นั่นหมายถึงเราสามารถเพิ่มพลังการเงินต้นที่จะมาลงทุนได้

ผมจะคิดอยู่เสมอนะ (คิดของผมเอง) ว่าหากหุ้นโต ราคาแพงขึ้น เราเองก็โตได้ในส่วนของการเก็บเงินออมมาลงทุนเช่นกัน ซึ่งมันก็มาจากความขยัน การพัฒนาความสามารถทางวิชาชีพของเราให้ได้รับรายได้เพิ่มด้วย มันก็จะมาสู่สูตรของ 3 พลังเงินออมนะครับ

เงินต้นมากขึ้น (จากเงินลงทุนที่มากขึ้น) + อัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น (เลือกหุ้นดีมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ) + ระยะเวลาที่ยาว (เริ่มก่อนได้เปรียบ) = ความมั่งคั่งที่สร้างได้ด้วยตัวเราเอง

ปีนี้ DCA เพิ่ม 3,000 เป็น 8,000 ปีต่อไปอาจจะเพิ่มเป็นเดือนละ 10,000 ก็ได้ ผมเริ่มจากหลักการแบบนี้ในการขยับเงินออมและโบนัส

คำถามก็คือเราจะต้องเพิ่มตลอดไปไหม? ปรับลดลงได้ไหม ก็ได้อยู่ดี เพราะระบบ DCA นั้นมันมีความยึดหยุ่นของวิธีการอยู่แล้ว

เพื่อนผมบางคนเดิมที DCA เดือนละ 10,000 บาท พอเขามีลูก และต้องการนำเงินออมไปทำอย่างอื่น เช่น เปลี่ยนเป็นทำประกันเพิ่มให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของตัวเองเพื่ออนาคตของลูก เขาก็จะ DCA ลดลง เช่น เหลือเดือนละ 8,000 บาท และอีก 2,000 บาทต่อเดือนก็นำไปจัดการเรื่องที่สำคัญอื่นๆได้

แล้วถ้ามีเงินก้อนจะมีวิธีการอื่นในการลงทุนคู่ DCA ได้อีกไหม?

ก็ได้นะครับ แต่เราก็ต้องใช้วิธีการที่ใจเย็นเหมือนกันคือการรอจังหว่ะ Market Timing ดีๆในการลงทุน ถ้าพูดภาษาง่ายๆคือ รอหุ้นดีในช่วงหุ้นตกเยอะๆ ถ้าพูดเป็นหลักการในการลงทุนก็คือรอช่วงที่เราเห็นว่ามูลค่าเทียบกับราคานั้นน่าซื้อ เช่น ซื้อหุ้นดีๆมีการเติบโต ช่วงที่ P/E Ratio ต่ำกว่า Average ของตัวมันหรือกลุ่มอุตสาหกรรม หรือ ถ้าใครชอบหุ้นแนวๆปันผลอาจจะมองราคาหุ้นเทียบกับ การเติบโตของเงินปันผลที่แจกอย่างสม่ำเสมอ ดูว่าในราคานั้นๆเกิดส่วนลดที่น่าสนใจหรือเปล่า มีอีกหลายวิธีที่ลองศึกษาดูได้ครับ

หรือใครจะใช้เทคนิค DCA ก้อนใหญ่ๆอีกทีบน Market Timing นั้นๆก็ได้ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับแนวทางความความรู้ของแต่ละคนแล้วครับ

สำหรับผมเองนั้นจะใช้ DCA 80% และ Market Timing 20% ในการลงทุนนะครับ พูดง่ายๆก็คือใช้ระบบการลงทุนแบบไปเรื่อยๆโดยไม่ได้สนใจตลาดซะเยอะ มีจับจังหว่ะดู Valuation บ้างนิดหน่อยถ้าเห็นโอกาสดีๆและมีเงินสุดครับ อันนี้ก็แล้วแต่แนวทางการลงทุนของแต่ละท่านนะครับ

ขอให้มีความสุขกับการลงทุนครับ