สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่งกับผม หมอนัท คลินิกกองทุน นะครับ ส่วนใหญ่แล้วปลายปีแบบนี้ คำถามจากนักลงทุนที่ถามผมเรื่องการลงทุนจะเน้นไปที่การลงทุนในกองทุน LTF/ RMF เป็นหลักครับ แต่ในปีนี้คำถามเรื่องการลงทุนกลายเป็นเรื่องจังหวะการลงทุน แทนที่จะเป็นเรื่องของกองทุนไหนที่ควรจะลงทุนด้วย ทั้งนี้ ก็เพราะว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยเองปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างที่จะมากอยู่ ทำให้หลายๆ คนยังไม่กล้าที่จะลงทุนกับกองทุน LTF/ RMF นั่นเองครับ
ผมเลยคิดว่า จริงๆ แล้วนักลงทุนเองไม่ควรที่จะมุ่งเน้นกับจับจังหวะลงทุนในกองทุนที่ลดหย่อนภาษีเพียงอย่างเดียว สิ่งที่นักลงทุนควรทำมากๆ ก็คือ การบริหารพอร์ตการลงทุนแบบองค์รวมมากกว่าครับ ซึ่งแนวคิดการจัดพอร์ตการลงทุนนั้น เรามักจะกระจายไปลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายประเภทกัน
และมีสินทรัพย์หนึ่งที่ผมชอบพูดถึงอยู่บ่อยๆ และผมคิดว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีเสน่ห์มากๆ ในการเลือกลงทุน นั่นก็คือ กองทุนรวมอสังหาฯ + REITs + กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นั่นเอง เพราะว่ากองทุนเหล่านี้มักจะให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอครับ
นอกจากนี้ ยังให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงทีเดียว คือถ้ามองผลตอบแทนย้อนหลังจากการลงทุนในกองทุนเหล่านี้ เงินปันผลที่ได้ก็จะอยู่ราวๆ 5-8% ซึ่งก็ขึ้นกับว่าเป็นอสังหาฯ ประเภทไหนด้วยครับ ซึ่งที่กองทุนเหล่านี้ให้ผลตอบแทนที่ดีก็เนื่องจากว่า รายได้ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากการเก็งกำไรซื้อขายราคาของตัวอสังหาฯ เพียงอย่างเดียว แต่ส่วนใหญ่รายได้มักจะเกิดจาก “ค่าเช่า” นั่นเองครับ
ข้อมูลจาก JP Morgan Guide to the Market
จะเห็นได้ว่ากอง REITs ในสหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนที่ติดอันดับต้นๆ อยู่เสมอนักลงทุนท่านไหนที่ติดตามบทความของผมอยู่เป็นประจำจะทราบดีว่า ผมเองก็เป็นนักลงทุนในกองทุนอสังหาฯ และ REITs ด้วยเช่นกัน เพราะหลงใหลในผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอและราคาสินทรัพย์ของกองอสังหาฯ ก็มีแนวโน้มเติบโตได้ในระยะยาว ซึ่งประเภทสินทรัพย์ที่ผมชอบมักจะเป็น ห้างสรรพสินค้าและออฟฟิศเช่า เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี มีผู้เช่าที่อยู่นานและอัตราการเช่าค่อนข้างสูง ทำให้ได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอไปด้วยครับ
โดยปกติแล้ว ผมเองมักจะไม่ค่อยชอบกองทุนที่ไปลงทุนกับอสังหาฯ ที่ไม่ได้มีค่าเช่าประจำ อย่างกองที่ลงทุนในโรงแรมเท่าไหร่นัก เนื่องจากว่าความผันผวนจากอัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวที่เอาแน่ไม่ได้ โดยเฉพาะกองทุนโรงแรมในประเทศไทย เนื่องจากบ้านเรามักจะมีเรื่องของการเมืองไม่แน่นอนที่อาจจะทำให้ความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง และบางครั้งเองก็มีสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จากเรื่องการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งครับ
คงต้องยอมรับว่ากองทุนอสังหาฯ ที่ไปลงทุนกับโรงแรมต่างๆ ในบ้านเรานั้นไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เนื่องจากอัตราการเข้าพักนั้นไม่สูงมาก หรือสูงแต่ก็ไม่สามารถบริหารให้เกิดกำไรได้ ถึงจะไม่ขาดทุน แต่ก็ไม่สามารถที่จะจ่ายเงินให้กับนักลงทุนได้ตามเป้าหมาย
แต่วันนี้ ผมจะพาทุกท่านมารู้จักกับ REITs กองแรกของไทยที่ไปลงทุนในกลุ่มของโรงแรมชั้นนำในต่างประเทศใกล้ๆ บ้านเราครับ ซึ่งจะมีจุดที่แตกต่างจากกองอสังหาริมทรัพย์หรือกอง REITs ในกลุ่มโรงแรม อื่นๆ เช่น อัตราการเข้าพักและจากประวัติรายได้ที่ค่อนข้างดี ผมต้องบอกว่ามีความน่าสนใจมากๆ ถ้าพิจารณาให้เข้าใจถึงตัวสินทรัพย์ในกองให้ดี อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีในการลงทุนได้เลยครับ
เพราะว่ากองทุนนี้มีการกระจายความเสี่ยงไปยังหลายๆ ประเทศ และด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังของโรงแรมที่ลงทุนนั้นถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศนั้นๆ เลยทีเดียวครับ อยากทราบแล้วใช่ไหมว่าเป็นกอง REITs อะไร ตามผมมาเลยครับ
กอง REITs ที่เราจะพูดถึงวันนี้ก็คือ…
‘ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่า สตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้’ Strategic Hospitality Extendable Freehold and Leasehold Real Estate Investment Trust (SHREIT)
ภาพรวมทั่วไป
กอง REIT นี้จะเสนอขายหน่วยทรัสต์มูลค่ารวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน 3,528,367,000 บาท ซึ่งจะทำการกู้ยืมเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำหรับเข้าลงทุนในทรัพย์สินโครงการฯ ที่ลงทุนครั้งแรกมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 1,570,560,000 บาท รวมมูลค่าระดมทุนทั้งสิ้นไม่เกิน 5,098,927,000 บาท
โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนดังกล่าวจะไปลงทุนในหุ้นของบริษัทโฮลดิ้งบีวีไอซึ่งจะลงทุนผ่านบริษัทลงทุนต่างประเทศในกรรมสิทธิ์ และ/หรือสิทธิการเช่าของทรัพย์สินของโรงแรมชั้นนำต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม โดยทรัพย์สินโครงการฯ ดังกล่าวมีห้องพักที่เปิดให้บริการแล้วจำนวนทั้งสิ้น 632 ห้อง
ประกอบด้วยโรงแรมทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่
(1) โรงแรม Pullman Jakarta Central Park (Freehold) (อินโดนีเซีย)
(2) โรงแรม Capri by Fraser (Leasehold) (เวียดนาม)
(3) โรงแรม IBIS Saigon South (Leasehold) (เวียดนาม)
ก่อนอื่นเรามาดูว่าโรงแรมแต่ละที่เป็นอย่างไรกันบ้าง และมีการทำกำไร หรือว่ามีอัตราการเข้าพักเป็นอย่างไรครับ
โรงแรม Pullman Jakarta Central Park
เป็นโรงแรมที่มีรายได้จากห้องประชุมจัดเลี้ยงสัมมนาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี โดยโรงแรม Pullman Jakarta Central Park มีห้องบอลรูมที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในจาการ์ตาครับโดยมีพื้นที่รับรองรวมมากกว่า 5,698 ตารางเมตร ซึ่งสามารถรองรับลูกค้าได้ถึง 8,000 คน และมีการจัดงานแต่งงานที่โรงแรมมากกว่า 40 งานต่อปี อีกทั้งยังมีการปรับขึ้นของอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยตามแผนของผู้บริหารโรงแรม
โดยล่าสุด สำหรับงวด 6 เดือนของปี 2560 โรงแรมมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ 2.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าอาหารและเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้นครับ
ส่วนกำไรสุทธิจากการดำเนินงานย้อนหลังปี 2557 ปี 2558 และ ปี 2559 เท่ากับ 6.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 6.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 5.98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
โรงแรม Capri by Fraser
โรงแรม Capri by Fraser นี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยสามารถปรับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดในงวด 6 เดือนของปี 2560 โรงแรมมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย 62.1 ดอลลาร์สหรัฐ/ ห้อง/ คืน เพิ่มขึ้นจากงวด 6 เดือนของปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 55.6 ดอลลาร์สหรัฐ/ ห้อง/ คืน จากการตั้งเป้าหมายที่จะให้มีลูกค้ากลุ่ม Short Stay มากขึ้น และลดสัดส่วนลูกค้ากลุ่ม Long Stay ทั้งนี้ เพื่อให้ได้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยที่สูงขึ้นนั่นเอง
โดยลูกค้าของโรงแรมประกอบด้วย ลูกค้ากลุ่มที่เข้าพักระยะยาวตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป (Long Stay) สัดส่วนประมาณร้อยละ 67 และลูกค้ากลุ่มที่เข้าพักระยะสั้นซึ่งน้อยกว่า 1 เดือน (Short Stay) สัดส่วนประมาณร้อยละ 33 (ข้อมูลในปี 2559) ถือว่าเป็นโรงแรมที่ทำกำไรได้สูงมากขึ้นจากการปรับกลยุทธ์ครับ
โรงแรม IBIS Saigon South
เป็นอีกโรงแรมที่ทำกำไรได้ดีมากขึ้น จากรายได้ค่าห้องพักที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น โดยลูกค้าของโรงแรมประกอบด้วยลูกค้าจากกลุ่มนักท่องเที่ยว (Leisure) ประมาณร้อยละ 69 และลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (Corporate) ประมาณร้อยละ 31 (ข้อมูลในปี 2559) และทั้งหมดเป็นลูกค้าที่มาพักแบบรายวัน (Short Stay) ดังนั้น ลูกค้าหลักของโรงแรม IBIS Saigon South จึงเป็นลูกค้าคนละกลุ่มกับลูกค้าหลักของโรงแรม Capri by Fraser ทำให้ไม่มีการแข่งขันกันเองถึงแม้ว่าจะตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน
สรุปภาพรวมของสินทรัพย์ที่อยู่ในกองทรัสต์นี้
สรุปจุดเด่น
1. กองทรัสต์มีนโยบายการลงทุนในโรงแรมที่มีคุณภาพในอาเซียนเป็นกองแรกในประเทศไทย ทรัพย์สินแต่ละแห่งมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันและมีศักยภาพการแข่งขันสูง เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตนเอง
1.1 โรงแรม Pullman Jakarta Central Park เป็นโรงแรม 5 ดาว แห่งเดียวในฝั่งตะวันตกของกรุงจาการ์ตา ซึ่งมีฐานลูกค้าจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ
1.2 โรงแรม Capri by Fraser และโรงแรม IBIS Saigon South เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว และ 3 ดาวที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง จากการบริหารจัดการโดยผู้บริหารโรงแรมชั้นนำระดับสากลเพียงแห่งเดียวในเขต 7 ของเมืองโฮจิมินห์ และตั้งอยู่ตรงข้ามศูนย์ประชุม Saigon Exhibition and Convention Centre (SECC) ซึ่งเป็นศูนย์ประชุมระดับมาตรฐานสากลแห่งเดียวในเมืองโฮจิมินห์ และมีงานประชุมอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปีมากกว่า 50 งาน
2. กองทรัสต์นี้มีการกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม โดยเข้าลงทุนในสินทรัพย์ในหลายประเทศ ทำให้มีฐานลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งนักท่องเที่ยวและกลุ่มของนักธุรกิจ
3. มีฐานลูกค้าที่มั่นคงจากแรงบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ โรงแรมยังมีฐานลูกค้าที่อยู่ระยะยาวและระยะสั้น ทำให้มีความสม่ำเสมอของรายได้
4. บริหารโดยผู้จัดการกองทรัสต์อิสระ ซึ่งมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการจากโอกาสในการเติบโตเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหน่วย
5. มีปัจจัยผลักดันอุปสงค์ของทรัพย์สินโครงการฯ ในแต่ละประเทศ
5.1 ประเทศอินโดนีเซีย การท่องเที่ยวถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในนโยบายของรัฐบาล และการเติบโตของกลุ่มประชากรที่มีรายได้ระดับกลางในประเทศอย่างรวดเร็วและเป็นจำนวนมาก จะเพิ่มอุปสงค์การบริโภค การท่องเที่ยว และโรงแรม ซึ่งการพัฒนาของเศรษฐกิจและการค้าเหล่านี้จะเพิ่มความต้องการในส่วนของ MICE ช่วยให้โรงแรมมีลูกค้าที่ต้องการจัดงานประชุมขนาดใหญ่และงานแสดงต่างๆ เพิ่มขึ้นครับ
โดยทรัพย์สินโครงการฯ นั้นตั้งอยู่ใกล้กับสถานี MRT ตามแผนการที่วางแผนไว้ในอนาคต ซึ่งน่าจะส่งผลให้มีจำนวนลูกค้ามากขึ้น ประกอบกับความได้เปรียบในด้านตำแหน่งที่ตั้งของทรัพย์สิน เนื่องจากเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวขนาดใหญ่ที่ได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจ MICE และสามารถรองรับงานแต่งงานท้องถิ่นระดับ 5 ดาวแห่งเดียวในจาการ์ตาตะวันตก
5.2 ประเทศเวียดนาม ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจรวดเร็วที่สุดในอาเซียน โดยได้เข้าทำสัญญาเขตการค้าเสรี (Free Trade Area) กับ 9 ประเทศ และยังอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าทำสัญญาดังกล่าวกับอีก 7 ประเทศ
โดยตอนนี้มีการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินตรงจากเมืองสำคัญต่างๆ ของภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงประเทศจีน สู่เมืองสำคัญของเวียดนาม เช่น โฮจิมินห์ซิตี้และฮานอย ทำให้เป็นปัจจัยส่งเสริมให้รายได้ของโรงแรมมีอัตราที่สูงขึ้น โดยการกระจายกลุ่มลูกค้าเพื่อให้ครอบคลุมคณะทัวร์ชาวจีนขนาดใหญ่ และมีบริการที่เป็นมาตรฐานของโรงแรมในระดับกลางถึงระดับสูง
สำหรับประมาณการอัตราเงินจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ที่มีสิทธิได้รับเงินจ่ายสำหรับรอบระยะเวลา 12 เดือนตามช่วงรายงานประมาณการ ในกรณีที่เงินต้นถูกทยอยคืนจะอยู่ที่ประมาณ 7.67 – 7.72% ครับ ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีสำหรับกองทรัสต์ในประเภทของโรงแรมครับ
หมายเหตุ :
1. งบกำไรขาดทุนรวมตามสถานการณ์สมมติสำหรับงวด 12 เดือนช่วงเวลาประมาณการ วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ที่ปรับปรุงแล้ว ถูกคำนวนโดยอ้างอิงจากสมมติฐานเงินกู้ยืมระยะยาวไม่เกิน 1,680 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าเงินกู้ยืมระยะยาวสูงสุดของกองทรัสต์เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายของกองทรัสต์ที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าลงทุนในทรัพย์สินโครงการฯ ที่อยู่นอกเหนือจากที่ผู้จัดการกองทรัสต์คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ดี ภายใต้สมมติฐานอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนตามเอกสารแนบ 4 รายงานและข้อมูลทางการเงินตามสถาณการณ์สมมติ สำหรับงวด 12 เดือนช่วงเวลาประมาณการ วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 นั้น คาดว่ากองทรัสต์อาจมีความจำเป็นในการระดมทุนจากเงินกู้ยืมระยะยาวประมาณ 1,645 ล้านบาท (หรือประมาณ 47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
2. คำนวณจากมูลค่าเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในทรัพย์สินสิทธิการเช่าที่เหลืออยู่ของแต่ละโรงแรมที่เท่ากับ 26 ปี ของโรงแรม Capri by Fraser และโรงแรม IBIS Saigon South ทั้งนี้ การประมาณการเงินจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ในรูปของการลดทุนจากการขาดทุนจากการประเมินมูลค่าทรัพย์สินดังกล่าว อาจมีความแตกต่างจากการดำเนินการจริง เนื่องจากมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นสิทธิการเช่าจะขึ้นกับราคาประเมินที่จัดทำโดยผู้ประเมินมูลค่าทรัพย์สิน จึงอาจยังไม่มี Unrealized Loss เกิดขึ้นในช่วงประมาณการ การประมาณการในสมมติฐานดังกล่าวนี้ จึงเป็นตัวอย่างในการแสดงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้วิธีลดทุนแบบเส้นตรงอาจมีความแตกต่างจากแนวทางของมาตรฐานการบัญชีที่สภาวิชาชีพบัญชีกำหนด กฎระเบียบ ประกาศของสำนักงาน ก.ล.ต. หรือตลาดหลักทรัพย์ ที่ประกาศในปัจจุบันและในอนาคตได้
ความเสี่ยง
ส่วนเรื่องความเสี่ยงนั้น ผมคิดว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องความเสี่ยงทั่วไปจากการลงทุนในกองทรัสต์ที่ลงทุนในโรงแรมครับ เช่น
- ความสามารถในการเพิ่มอัตราการเข้าพักของแต่ละโรงแรม
- สภาพการแข่งขัน เช่น อาจจะมีโรงแรมที่ใหม่มาเปิดอยู่ข้างๆ
- ภัยธรรมชาติ สภาพเศรษฐกิจ และการเมืองของแต่ละประเทศ
- การปรับปรุง ซ่อมแซมสินทรัพย์ของโรงแรมเองที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอันเป็นผลจากการที่กองทรัสต์กู้ยืมเงิน
- ความเสี่ยงเรื่องของค่าเงินของแต่ละประเทศที่อ่อนค่าหรือแข็งค่ามากขึ้น ถึงแม้ว่ากองทรัสต์อาจเข้าทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราก็ตามครับ แต่ก็ไม่สามารถคุ้มครองความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราทั้งหมด
- ทรัพย์สินโครงการฯ อาจถูกเวนคืน
- การเปลี่ยนแปลงในมาตรฐานการบัญชีหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- ความเสี่ยงเรื่องของราคากองทรัสต์หลังจากที่เข้าไปซื้อขายในตลาดรองแล้ว
สรุปภาพรวมกอง SHREIT
ผมคิดว่าเป็นกองทรัสต์อีกกองที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นทรัสต์หรือว่า REIT กองแรกที่มีการกระจายไปลงทุนในโรงแรมในหลายประเทศในอาเซียน ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงที่มีโอกาสทำให้ผลตอบแทนมีความสม่ำเสมอมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีการลงทุนในกองอสังหาฯ โรงแรมในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการกระจายการลงทุนในโรงแรมที่ไม่มีสหสัมพันธ์ (Correlation) กับธุรกิจโรงแรมในประเทศ ดังนั้น ถึงแม้ว่าใครหลายๆ คนอาจจะมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีกับกองอสังหาฯ โรงแรมมาก่อนก็ตาม แต่ผมอยากให้ลองพิจารณากองทุนนี้ดู เพราะว่ามีสถานที่ทำเลดีและมีกลยุทธ์การบริหารโรงแรมที่ทำได้ค่อนข้างต่อเนื่องและดีทีเดียวครับ
ผมเองมักจะย้ำเสมอว่า เวลาเราลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์นั้น ก็ควรที่จะกระจายความเสี่ยงไปยังกองอื่นๆ ด้วยประมาณ 3-4 กองที่แตกต่างกันในรูปแบบของธุรกิจที่ทำ เช่น อาคารสำนักงาน อาคารโรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน อาคารศูนย์การค้า หรือกองทุนอสังหาฯ รูปแบบอื่นๆ ก็ได้ ซึ่งถ้ามีกอง SHREITไว้กระจายความเสี่ยงในรูปแบบของกองทรัสต์โรงแรม ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี
ก่อนจะลากันไป ผมก็ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนในกอง REIT นะครับ
บทความนี้เป็น Advertorial