การทำกำไรในตลาดหุ้นนั้น ไม่ว่าจะใช้ศาสตร์ไหนมาทำการวิเคราะห์ก็ตาม แต่กลยุทธ์สุดท้ายก็คือ “การซื้อถูก และ ขายแพง” นั้นแปลว่า เราต้องวิเคราะห์ให้ออก แล้วเลือกซื้อหุ้นซักตัว หรือกองทุนรวมซักกอง โดยมีความเชื่อว่า จะมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ยอมซื้อหุ้นตัวเดียวกัน หรือหุ้นที่อยู่ในกองทุนรวมนั้นๆที่เราซื้อ (ในราคาที่แพงกว่า) ในอนาคต ความแตกต่างระหว่าง ตลาดกระทิง VS. ตลาดหมี

แน่นอนครับ จะมีคนอื่นมายอมซื้อที่ราคาแพงกว่าที่เราซื้อ แสดงว่า เขาก็ต้องเชื่อว่า จะมีข่าวดี อนาคตของหุ้นตัวนั้นยังสดใส และที่สำคัญ หุ้น หรือตลาดหุ้น ต้องอยู่ในตลาดขาขึ้น (Bull Market)

ที่ผมบอกว่า ตลาดหุ้น ต้องอยู่ในตลาดขาขึ้น หรือตลาดกระทิง (Bull Market) เนี่ย ถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการทำกำไรในระยะสั้น และในระยะกลางครับ เพราะหากตลาดหุ้นเข้าสู่ขาลง หรือ ตลาดหมี (Bear Market) โอกาสในการทำกำไรในตลาดหุ้นจะลดลงไปอย่างมากทีเดียว ดังนั้นนอกจากเราจะต้องเชื่อว่า จะมีข่าวดี อนาคตของหุ้นตัวนั้นยังสดใสแล้ว เราต้องดูให้ออกครับ ว่าตลาดหุ้นช่วงนั้น อยู่ในภาวะใด กระทิง หรือ หมี

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย …. ทำไมตลาดเรียกตลาดขาขึ้น ขาลง ว่า กระทิงกับหมี?กระทิง เวลามันสู้ มันจะขวิดขึ้น เหมือนราคาหุ้นที่ทะยานขึ้นส่วนหมี เวลามันสู้ มันจะใช้มีตะปบลง เหมือนราคาหุ้นที่ร่วงลงมานั้นเอง

 

แล้วจะรู้ได้อย่างไร ตอนนี้เราอยู่ในตลาดกระทิง หรือ ตลาดหมี

 

  1. ดูแนวโน้มทางเทคนิค

ง่ายที่สุดคือ ลาก Trend Line หรือ เส้นแนวโน้ม ซึ่งในตำราบอกว่า ตลาดหุ้นมีแนวโน้มอยู่แค่ 3 แนวโน้ม นั้นก็คือ Uptrend (ขาขึ้น), Downtrend (ขาลง) และ Sideway (แกว่งตัวออกข้าง) ยิ่งอยากรูปแนวโน้มระยะยาวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องดูกราฟในระยะยาวมากขึ้นเท่านั้น ผมยกตัวอย่าง ตลาดหุ้นไทย ณ วันนี้ โดยลาก Trend Line นับตั้งแต่หลังวิกฤต Subprime ปี 2009 ให้ดูตามภาพนะครับ

ความแตกต่างระหว่าง ตลาดกระทิง VS. ตลาดหมี

ตั้งแต่ปี 2009 จนถึงกลางปี 2015 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยอยู่ในขาขึ้นภาพใหญ่ จนกระทั่งหลุดเส้นแนวโน้มขาขึ้นตรงระดับ 1,480 จุด ไปแล้ว ดังนั้น ตอนนี้ไม่ใช่ขาขึ้นครับ แต่จะเป็นแกว่งตัวออกข้าง หรือกลายเป็นขาลง คงต้องไปวิเคราะห์มุมอื่น หรือติดตามไปอีกซักระยะ เราถึงรู้ว่า อยู่ในแนวโน้มใด

 

  1. อัตราการเติบโตของตัวเลขเศรษฐกิจที่แท้จริง

ในตลาดขาขึ้นนั้น อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจะใกล้เคียง หรือเต็มศักยภาพของประเทศนั้นๆ ทางตรงกันข้าม ตลาดขาลง เราจะบบ อัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลง หรืออาจถึงขั้นติดลบ โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่ใช้ดูนั้น

National Economic หรือ ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ซึ่งหลักๆ เราจะการขยายตัวของเศรษฐกิจด้วย GDP Growth ปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างที่สองก็คือ อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งในตลาดขาขึ้น หรือเศรษฐกิจเฟื้องฟู ตัวเงินเงินเฟ้อ จะอยู่ในระดับที่สูง เนื่องจากความต้องการใช้สินค้ามีมาก ราคาสินค้าจึงขยับขึ้นเรื่องๆ แต่หากอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวด้วยสาเหตุจากความต้องการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลง ก็แสดงว่า เศรษฐกิจกำลังอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวครับ

 

  1. Corporate Finance Performance - ความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในภาพรวม

หลักๆที่ต้องดูก็คือ กำไรสุทธิของบริษัทโดยภาพรวมแล้วดีขึ้น หรือแย่ลง แต่แค่นั้นยังไม่พอครับหากจะแปลมาเป็นกลยุทธ์การลงทุน เราต้องดูว่า ถ้าดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไหม? ถ้าไม่ดีกว่าที่เขาประเมิณไว้ ตลาดหุ้นหรือราคาหุ้น ก็อาจตอบรับในทิศทางลบได้เช่นกัน หรือถ้าแย่ลง แล้วไม่แย่กว่าที่นักวิเคราะห์เขาทำการประเมิณ ตลาดก็อาจตอบรับในทิศทางเชิงบวกได้

สาเหตุเป็นเพราะว่า ตลาดหุ้น และราคาหุ้น มันไม่ได้สะท้อนผลกำไรในอดีตครับ มันเกิดจากการคาดการณ์ผลกำไรในอนาคต อย่างที่ผมบอกตอนต้นไง จะกำไรในอนาคต ต้องเดาครับว่า จะมีคนอื่นมายอมซื้อที่ราคาแพงกว่าที่เราซื้อ หรือเปล่า ดังนั้น ทุกคนในตลาดกำลังคาดการณ์และทำนายอนาคตครับ

 

  1. ดูอารมณ์ตลาด (Sentiment) โดยรวม

อย่างที่ Peter Lynch ผู้จัดการกองทุนระดับโลกเคยตั้งทฤษฎีขำๆที่มีชื่อว่า “Cocktail Theory” หรือทฤษฎีจับอารมณ์ตลาดในงานเลี้ยงนั้นเอง เขาแบ่งภาวะตลาดออกเป็น 4 ช่วงครับ

 

4.1 ในงานเลี้ยง คนส่วนใหญ่จะสนใจคุยหัวข้ออื่น เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนเข็ดจากตลาดหุ้น เพราะตลาดหุ้นได้ลงมาหนักแล้ว คนส่วนใหญ่ขาดทุน แต่ผู้จัดการกองทุนบอกว่า เจอหุ้นถูกๆเต็มตลาดไปหมด

4.2 เริ่มมีคนส่วนน้อยในงานเลี้ยงที่เดินมาคุยกับผู้จัดการกองทุนในเชิงบ่นว่า ตลาดผันผวนอย่างโน้นอย่างนี้ เสี่ยงแค่ไหนถ้าเข้าไปก่อนหน้า เสร็จแล้วก็เปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องอื่น

4.3 ทุกคนในงานหันมาหาผู้จัดการกองทุนและเริ่มถามหาวิธีเลือกหุ้น หาหุ้นเด็ด แม้แต่หมอฟันยังถามเรื่องหุ้นเลย ซึ่งนั้นแปลว่า แทบทุกคนมีการลงทุนในหุ้นไม่เยอะก็น้อย ถ้าเจอแบบนี้แสดงว่าตลาดวิ่งมาจนไกลสุดทางแล้วครับ

4.4 ทุกคนในงานเดินมาบอกผู้จัดการกองทุนว่า ทำไมไม่เลือกหุ้นตัวนั้นตัวนี้เข้าพอร์ต ถ้าเจอแบบนี้ ปาร์ตี้ตลาดหุ้นใกล้จบแล้วครับ

 

สรุปนะครับ ดูแนวโน้มทางเทคนิค สัญญาณเศรษฐกิจมหภาค จากนั้นตามมาด้วย ดูตัวเลขผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวม และจบด้วยการตามดูอารมณ์ของมวลชน ณ ตอนนั้น

 

ถ้ามันเป็นตลาดหมี ก็แปลว่า เราควรถือ เงินสด ให้เยอะกว่า สินทรัพย์เสี่ยง

ถ้ามันเป็นตลาดกระทิง ก็แปลว่า เราควรถือ สินทรัพย์เสี่ยง ให้เยอะกว่า เงินสด