กลับมาแล้วสำหรับบทความสุดท้ายในซีรีส์ “พอร์ต 7 สี มณี 7 แสง” โมเดลการลงทุนสำหรับนักลงทุนทั่วไป ที่อยากได้ไอเดียในการจัดพอร์ตลงทุน ให้เหมาะสมกับเป้าหมาย และสไตล์การลงทุนที่ตัวเองต้องการ

หลังจากที่เราดองกลยุทธ์รูปแบบสุดท้ายไว้นาน และได้ปล่อยบทความอธิบายโมเดล 4 แบบแรกไปแล้ว (ตามอ่านได้ที่นี่เลย >> ตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2) ในครั้งนี้เราขอพูดถึงโมเดล 3 รูปแบบที่เหลือ ที่มีเป้าหมายหลักคือ ลงทุนเพื่อให้เงินเติบโต!!! NAV ที่เพิ่มขึ้นคือคำตอบสุดท้าย เราจะลงทุนไปเรื่อยๆ เพื่อให้ผลตอบแทนมันโตทบต้นทบดอกให้รวยกันไปข้างนึง !!!

คนที่จะจัดพอร์ตฯตามแบบโมเดลสองตัวนี้ ต้องคนที่รับความเสี่ยงได้มาก และมากมากแล้ว ฮ่าๆ เพราะชื่อของมันก็บอกอยู่ว่า Growth เงินลงทุนต้องเติบโตนะ อีกอันก็ Aggressive Growth เติบโตแบบดุดันมาก แต่ละอันมีแนวความคิดยังไงบ้าง ไปดูพร้อมกันเลย


GROWTH MODEL


จัดพอร์ตฯให้เงินโตขึ้นแบบทวีคูณ ด้วย Growth & Aggressive Growth Model

แนวความคิดของ Asset Model

GROWTH MODEL เป็นโมเดลมุ่งเน้นการเติบโตของเงินลงทุนในแบบพอดี ไม่หวือหวา เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาว เน้นทำผลตอบแทนให้พอร์ตการลงทุนเติบโตอย่างต่อเนื่อง เงินปันผลมีก็ดีไม่มีก็ได้ โนสนโนแคร์ จุดจุดนี้ขอให้ NAV ของกองทุน หรือราคาหุ้นเพิ่มอย่างเดียวพอ

ซึ่งความเสี่ยงในการเติบโตของพอร์ตแบบนี้ ส่วนมากจะมาจากสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นสามัญ นักลงทุนสามารถเลือกได้ว่าจะลงทุนในหุ้นสามัญรายตัวด้วยตัวเอง หรือเลือกจัดพอร์ตโดยใช้กองทุนรวมในหุ้น ที่มีนโยบายการลงทุนแบบ Active มีจุดมุ่งหมายต้องเอาชนะตลาดให้ได้!!


การจัดสรรสินทรัพย์ของ Asset Model

สัดส่วน 65% ของพอร์ต ผมเลือกลงทุนในหุ้นสามัญหรือกองทุนรวมในหุ้นที่มีความเสี่ยงระดับ 6 ใน RISK SPECTRUM ปกติแล้วรูปแบบการลงทุนในหุ้นเมื่อแบ่งตามความเสี่ยงและโอกาสจะมีอยู่สองแบบ คือ แบบตั้งรับ หรือ Passive มุ่งเน้นให้ผลตอบแทนเทียบเท่าตลาด โดยเลือกลงทุนในกองทุนรวมดัชนี หรือ เลือกหุ้นที่อยู่ใน SET50 เพื่อเพลย์เซฟไว้ก่อน

กับอีกแบบคือการลงทุนเชิงรุก หรือ Active ที่ต้องการเอาชนะตลาด โดยมีนโยบายลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีโมเมนตั้ม เรียกง่ายๆ ว่าอุตสาหกรรมไหนหรือหุ้นชนิดไหนกำลังมาแรง เราก็เลือกลงทุนตามนั้น เพื่อเพิ่มผลตอบแทน แต่ความเสี่ยงก็จะสูงกว่าการลงทุนในหุ้นแบบตั้งรับ

ซึ่ง 65% นั้นประกอบด้วย 45% ที่ลงทุนในหุ้นสามัญแบบทั่วไป เน้นหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET100 หรือ SET50 เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินงานของหุ้น อีก 20% ลงทุนในหุ้นขนาดกลางเล็กที่มีโอกาสในการเติบโตระยะยาวสูง ถ้าเลือกหุ้นไม่เป็นก็เลือกใช้กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนใน Mid-Small cap แทนก็ได้


สัดส่วนการลงทุนจะแบ่งตามนี้...

- เงินฝากออมทรัพย์ / กองทุนรวมตลาดเงิน สัดส่วน 5%
- หุ้นกู้ภาคเอกชน / กองทุนรวมตราสารหนี้ สัดส่วน 20%
- กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ สัดส่วน 10%
- หุ้นสามัญรายตัวที่อยู่ใน SET100 / กองทุนรวมในหุ้น (เน้นนโยบาย Active) สัดส่วน 45%
- หุ้นสามัญขนาดกลางเล็ก / กองทุนรวมในหุ้น นโยบาย Mid small capitalize สัดส่วน 20%


ที่ยังใส่สินทรัพย์อื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนเป็น Fixed Income มาให้อีก 30% ก็สำหรับนักลงทุนที่ยังไม่มั่นใจกับการลงทุนในหุ้น แล้วอยากได้ผลตอบแทนที่มั่นคง ไม่หวือหวามาก แต่ถ้ารับได้แล้วก็สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นเลยก็ได้ แต่แนะนำว่าให้เก็บเงินสดไว้บ้างเพื่อรอโอกาสในการลงทุนดีๆ ที่อาจจะเข้ามาในอนาคต


เป้าหมายและผลตอบแทนของ Asset Model

เมื่อคำนวณผลตอบแทนที่คาดหวังของโมเดลนี้ออกมา Base Case ที่น่าจะได้ก็คือ 9.74% ต่อปีโดยเฉลี่ย ส่วนกรอบความผันผวนจะอยู่ระหว่าง -7.32% ถึง 26.80% ต่อปี มีโอกาสขาดทุนอยู่มาก และยังมีความผันผวนที่สูงมากด้วย เพราะเงินลงทุนอยู่ในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างกองทุนรวมในหุ้น แบบ Active รวมกันเป็นสัดส่วน 65% ของพอร์ตฯ

อยากให้เพื่อนๆ เข้าใจแนวความคิดว่า โมเดลนี้เราออกแบบมาเพื่อ การเติบโตของเงินลงทุน เป็นหลัก โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงก็มีมาก แต่โอกาสการขาดทุนก็เยอะอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองให้ลงทุนในกองทุนรวมหุ้นไปก่อน เพราะในระยะยาวหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ทำผลตอบแทนแบบ Capital Gain และได้ผลตอบแทนมากกว่าสินทรัพย์ชนิดอื่นด้วย

แล้วเมื่อไหร่ที่พร้อมก็สามารถลงทุนในหุ้นรายตัวด้วยฝีมือของตัวเอง แล้วคุณจะรู้เลยว่าโอกาสที่จะทำผลตอบแทนได้มากกว่า 20% ต่อปีมันมีจริงๆ!!!



AGGRESSIVE GROWTH MODEL


จัดพอร์ตฯให้เงินโตขึ้นแบบทวีคูณ ด้วย Growth & Aggressive Growth Model

แนวความคิดของ Asset Model

ถ้าโมเดลการเติบโตแบบแรก ยังไม่สะใจพอ ลองมาดูโมเดลที่โหดที่สุด เสี่ยงที่สุดในซีรีส์พอร์ต 7 สีฯ กับ AGGRESSIVE GROWTH เติบโตแบบรวดเร็วก้าวร้าว โนสนโนแคร์ว่าความเสี่ยงจะมากแค่ไหน แต่ถ้าทำให้พอร์ตเติบโตอย่างรวดเร็วมากเท่าไหร่ยิ่งดี

ด้วยความเสี่ยงที่มากที่สุดโมเดลนี้จึงสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงที่สุดได้ เพราะเน้นการลงทุนไปที่หุ้นรายตัว โดยกระจายการลงทุนในหุ้นขนาดกลางเล็กมากกว่าโมเดลอื่นๆ เพราะหุ้นประเภทนี้มี Space ทางธุรกิจให้เติบโตได้ในอนาคต

ซึ่งการจัดพอร์ตโดยเลือกหุ้นรายตัวเข้าพอร์ต ผมแนะนำสำหรับคนที่มีความรู้ความสามารถ กับประสบการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นมาแล้วระยะหนึ่งจะดีกว่า เพราะความเสี่ยงของการจัดพอร์ตแบบนี้สูงมากๆ ความรู้และประสบการณ์จะช่วยให้นักลงทุนมองออกว่าควรลงทุนในหุ้นแบบไหน ถึงจะเหมาะกับตัวเอง

แต่ต้องเลือกหุ้นให้ถูกตัวนะ ไม่งั้นอาจจะเห็นดอยอยู่ลางๆ..ก็..เป็น..ได้


การจัดสรรสินทรัพย์ของ Asset Model

ความเสี่ยงและความผันผวนของโมเดลนี้สูงที่สุดแล้ว เพราะเน้นการลงทุนในหุ้นรายตัวที่เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด ให้สัดส่วนถึง 75% แบ่งออกเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่ถูกจัดอันดับใน SET100 สัดส่วน 40%และหุ้นขนาดกลางเล็กที่มีความผันผวน 35%

สำหรับผมแล้วหุ้นขนาดกลางเล็กมีข้อดีตรงที่การขาดทุนของมันมีข้อจำกัดอยู่ที่ 100% แต่โอกาสในการเติบโตนั้นมีไม่จำกัด ตราบใดที่ยังรักษาความสามารถในการเติบโตได้อยู่ เราสามารถเห็นหุ้นขนาดเล็กทำผลตอบแทนจากส่วนต่าง Capital Gain ได้สูงถึง 100% 500% 1,000% หรือมากกว่านั้น

และโมเดลนี้จะถ่วงดุลความเสี่ยงด้วยสินทรัพย์ที่สร้างรายได้แบบ Fixed income ผมเน้นไปที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 20% และถือเงินสดเพียง 5%


Strategic Asset Allocation (SAA) ของโมเดลนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย

- เงินฝากออมทรัพย์ / กองทุนรวมตลาดเงิน สัดส่วน 5%
- หุ้นกู้ภาคเอกชน / กองทุนรวมตราสารหนี้ สัดส่วน 5%
- กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ สัดส่วน 10%
- หุ้นที่อยู่ใน SET100 ที่มีความสามารถในการเติบโต สัดส่วน 40%
- หุ้นขนาดกลางเล็กที่สามารถเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ 35%


เป้าหมายและผลตอบแทนของ Asset Model

ผลตอบแทนที่คาดหวัง Base case ของโมเดลนี้ มีความเป็นไปได้ที่ 10.88% ต่อปีโดยเฉลี่ย ส่วนกรอบความผันผวนจะอยู่ระหว่าง -10.49% ถึง 32.24% ต่อปี ซึ่งขาดทุนได้อย่างมาก 10% หรืออาจจะมากกว่านี้หากลงทุนในหุ้นเน่าไม่มีอนาคต หึหึ

กรอบความผันผวนนั้นสูงมาก เพราะความผันผวนของหุ้นขนาดกลางเล็กมีสูง สาเหตุมาจากความคาดหวังของตลาดที่จะให้หุ้นขนาดกลางเล็กเติบโต เมื่อกำไรของบริษัทออกมาดี ตลาดจะแห่แหนเข้ามาให้ความสนใจกับหุ้นขนาดเล็กที่มีจำนวนหุ้นน้อย การเพิ่มขึ้นของราคาจะเป็นไปอย่างรวดเร็วในช่วงนั้น

ขณะเดียวกันโอกาสขาดทุนของมันก็มีมาก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่บริษัททำผลประกอบการออกมาน่าผิดหวัง ราคาหุ้นของมันก็จะร่วงหล่นอย่างรุนแรง เพราะคนในตลาดเทขายกันนั่นเอง โอกาสที่โมเดลนี้จะทำผลตอบแทนสูงสุดถึง 32.24% จึงมีความเป็นไปได้สูง

และมีโอกาสที่พอร์ตการลงทุนจะขาดทุนมากกว่า 10% ก็มีเยอะเหมือนกัน

ดังนั้นถ้าคิดจะลงทุนในโมเดล Aggressive Growth นักลงทุนต้องเข้าใจความเสี่ยงของหุ้นขนาดกลางเล็ก และเข้าใจโอกาสในการเติบโตของเงินลงทุน ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องรับความเสี่ยงจากการขาดทุนได้!! เพราะเป้าหมายการลงทุนในรูปแบบนี้คือ คาดหวังการเติบโตของเงินลงทุน


ใครที่รับความเสี่ยงได้น้อยก็อย่าโลภ เลือกโมเดลที่ความเสี่ยงต่ำ รูปแบบผลตอบแทนเหมาะสมกับตัวเองน่าจะดีกว่า อย่างเช่นโมเดลพิเศษที่เป็นลูกผสมของ INCOME MODEL และ GROWTH MODEL ที่ยังไม่ได้กล่าวถึง นั่นคือ “INCOME & GROWTH MODEL”



INCOME & GROWTH MODEL


จัดพอร์ตฯให้เงินโตขึ้นแบบทวีคูณ ด้วย Growth & Aggressive Growth Model

ถ้าจะพูดถึงโมเดลนี้อย่างรวบรัดมันก็คือ การผสมผสานแนวความคิดของ Income Model และ Growth Model (อ่านแนวความคิดของ Income Model ที่นี่) เป็นการลงทุนที่หวังผลตอบแทนแบบ Fixed Income และให้เงินลงทุนเติบโตด้วย

ความเสี่ยงของมันจะมีน้อยกว่าพอร์ตฯเติบโตแบบปกติ เพราะสัดส่วนการลงทุนจะเน้นหนักไปที่ Fixed Income Asset อย่างตราสารหนี้ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์มากถึง 60% และลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวมหุ้นที่มีโอกาสเติบโต ในสัดส่วน 35%

กรอบผลตอบแทนที่คาดหวังจากโมเดลนี้อยู่ระหว่าง -3.19% ถึง 18.51% ต่อปี ส่วน Base Case อยู่ที่ 7.66% ต่อปีโดยเฉลี่ย ไม่มากมายเท่าพอร์ตเติบโตแบบอื่นๆ แต่ก็พอเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่มองหาผลตอบแทนแบบ Hybrid ได้



ครบหมดแล้วทุกพอร์ต อธิบายแนวความคิดไปครบแล้ว เพื่อนๆ คนไหนสนใจก็สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองได้นะครับ ส่วนสินทรัพย์รายตัวหรือ Stock Selection ต้องทำการบ้านกันให้ดี เผื่อจะมีโอกาสทำผลตอบแทนได้สูงกว่าที่วางแผนเอาไว้

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพอร์ต 7 สี แต่ไม่อยากรอบทความสามารถหลังไมค์มาคุยกันได้ที่แฟนเพจผมเลยนะครับ ขอบคุณมากๆเลยที่ติดตามกันมาจนถึงตอนสุดท้ายของซีรีส์นี้ อิอิ