สำหรับบทความชิ้นนี้จะเป็นแนวคิดของผมเองในการลงทุนในหุ้น ก็อาจจะแตกต่างกับการมองของนักลงทุนหลายๆท่านนะครับ ก็ลองพิจารณาเอาในส่วนที่คิดว่าน่าสนใจไปปรับใช้กับตัวเองดูล่ะกันเนอะ
ก็มีหลายๆคนถามผมเสมอว่าการออมหุ้นแบบ DCA จะต้องใช้วิธีคิดอะไรบ้าง ผมเองก็จะบอกเสมอว่ามันต้องเริ่มจากการวางแผนการเงิน นำเงินออมออกมารับความเสี่ยง โดยเลือกหุ้นที่จะออมก่อนแล้วค่อยออมหุ้นอย่างมีวินัย วิธีคิดในการเลือกหุ้นที่จะออมเนี่ย ผมก็มีเทคนิคส่วนตัวของผมอยู่นะครับ แต่เดี๋ยวผมจะให้ดู 3 ประเภทในมุมมองของผมก่อน
หุ้น 3 ประเภทในมุมมองของผม
เห็นทางปรมาจารย์ปีเตอร์ ลินช์ เขาแบ่งเป็น 6 ประเภท แต่พอมานั่งๆอ่านแล้วถ่ายทอดให้คนที่ไม่ได้มีพื้นฐานในเรื่องหุ้นมาก ผมเลยพยายามหาวิธีคิดที่จะแบ่งง่ายๆสไตล์ของผมเองเช่นกัน
หากเพื่อนๆคนไหนที่ได้เคยอ่านหนังสือ ออมหุ้น ออมความสุข www.aomstock.com ที่ผมแต่งขึ้นมาเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการออมหุ้นแบบ DCA คงจะเคยเปิดเจอหน้านี้ ผมจะแบ่งหุ้นไว้ 3 ประเภทนะครับ โดยผมจะใช้คำถามว่า "หุ้นแบบไหนที่คุณชอบ"
- แบบที่หุ้นขึ้นเรื่อยๆจากการเติบโต
- แบบที่ผันผวนเอาแน่เอานอนไม่ได้
- แบบที่ราคาหุ้นดำดิ่ง ซื้อไปก็ดอย
ผมตั้งคำถามง่ายๆแค่นี้แหระ
คำตอบของทุกคนก็คือ งั้นเลือกหุ้นแบบที่เติบโตเรื่อยๆ ราคาหุ้นดีขึ้นเรื่อยๆสิ!
มันก็เลยมักจะมีคำถามต่อว่าแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรฟ่ะ! ว่าหุ้นตัวนี้มันจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆจริงๆจังๆ ถามแบบนี้ฆ่ากันเลยดีกว่าเพราะมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก รู้ก็รวยไปแล้ว 555 การลงทุนมันมีความเสี่ยงเสมอและสิ่งที่เราทำได้ก็คือการหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้ลงทุนได้อย่างปลอดภัยที่สุด สูตรและความเข้าใจที่ผมใช้ก็จะค่อนข้างผสมผสานหน่อยนะครับ โดยหลักๆที่ผมมองก็คือ
"Pattern ของราคาหุ้น และ ความสัมพันธ์ของราคากับผลประกอบการ"
เห้ยยย อยู่ๆผมก็พูดเรื่อง Pattern หว่ะ? อย่างกับ Technical หรือ Quant เลย อันที่จริงๆ DCA ก็เป็นลูกผสมระดับนึงนะครับ โดยความเชื่อและข้อสังเกตของผมก็คือ ราคามันจะมีความสัมพันธ์กับการซื้อขาย และ ราคาก็จะมีความสัมพันธ์ต่อกิจการด้วย อ้าวววว พูดงี้ก็มองเหมือน VI ซะงั้น ก็แนวๆ DCA มันก็ลูกผสมระดับหนึ่งนั่นแหระ
1. มองกราฟหุ้นย้อนอดีดกันหน่อย
วิธีการมองหุ้นที่ง่ายที่สุดอันหนึ่งก็คือมองกราฟหุ้นนี่แหระว่าการเติบโตในเชิงของราคามันเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่ผมจะมองย้อนหลัง 1 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี หรือมองเล่นๆไปเรื่อยๆ มองไปเหอะ แหม... ดูฟรีไม่เสียตังก็ดูไปเถอะ ว่าหุ้นแต่ละตัวมันเป็นอย่างไร เราจะเห็นหุ้นแต่ละตัวเลยว่ามันมีความแตกต่างอย่างไรแล้วก็ Check List มันไว้
อันนี้เป็นตัวอย่างของราคาหุ้นระยะยาว 3 แบบนะครับ เอามาจาก Market Anywareอย่างแรกที่ผมมักจะมองเลยก็คือราคาในระยะยาวว่ามันเป็น Pattern ขาขึ้นหรือเปล่า ถ้าขาลงเนี่ยผมว่ามันต้องผิดปกติอยู่แล้ว ส่วนอะไรที่มันผันผวนเนี่ยมันอาจจะดีหรือแย่ก็ได้อันนี้ผมก็จะไม่ชอบเท่าไหร่ แล้วผมก็จะเอาตัวที่มันเป็นขาขึ้นมาดูในเรื่องของพื้นฐานหุ้นอีกทีหนึ่งว่า มันเป็นอย่างไร
อันที่จริงหุ้นดีมันอาจจะไม่ได้ราคาขึ้นก็ได้นะครับ มันอาจจะลงก็ได้ แต่ในอีกแง่ ถ้าเราเชื่อในเรื่องของ Fund Flow สภาพคล่อง และถ้าคิดว่านักลงทุนทุกคนฉลาดพอที่จะลงทุนหุ้นที่ได้ผลตอบแทนที่ดี หุ้นดีมีคนซื้อก็ต้องขึ้น ถูกไหม?
2. กราฟดูงดงาม พื้นฐานไม่ดีก็อย่าคบ
สำหรับผมแล้วการที่หุ้นมันขึ้นได้ มันจะต้องมีปัจจัยที่ทำให้มันขึ้น ซึ่งผมก็แบ่งเป็น 2 แบบก็คือ
"ขึ้นเพราะความคาดหวังลมๆแล้งๆ" และ "ขึ้นเพราะพื้นฐานของมันดีพอจะให้คนสนซื้อ" สิ่งที่ผมจะทำต่อก็คือ เอางบการเงินมากางเลยว่ากิจการเป็นอย่างไร
ก็อย่างที่บอกแหละว่า หุ้นขึ้นมันอาจจะไม่ใช่หุ้นที่ดีก็ได้ เขาเรียกว่าหุ้นที่มีการทำราคา (ภาษาบ้านๆเรียกว่า"หุ้นปั่น") แบบมาเร็วสุดๆไปเร็วสุดๆอันนี้มองง่ายมากเลย ราคาขึ้น แต่ธุรกิจเป็นขาลง P/E เป็น N/A เลยจ้า หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นเสียววาบ ส่วนใหญ่กราฟระยะยาวจะไม่เห็น แต่จะพบในกราฟระยะสั้น (ความเสี่ยงสูงสุด)
อีกพวกก็คือพยายามสร้างข่าวพื้นฐานไว้เรื่อยๆพวกนี้จะยืดยาวได้หน่อย P/E สูงมากๆๆ ก็ต้องมาลุ้นกันว่าจะเป็นจริงไหม ถ้าเป็นจริง พื้นฐานจะตามราคาไป หุ้นพวกนี้ตื่นเต้นเร้าใจประมาณหนึ่ง ในทางกลับกันมันไม่ได้เป็นไปตามที่คิดบางทีก็ทิ้งก็เลยจ้า หุ้นแบบนี้เจอกันแน่ๆในระยะกลางๆก่อนแล้วระยะยาวมันจะมาเฉลย (ความเสี่ยงรองลงมา อย่าให้พูดชื่อหุ้นเลย 555)
หุ้นอีกประเภทที่มันโอเคกว่าคือ ผู้บริหารก็ไม่ได้โม้ให้ข่าวอะไรที่สร้างความหวังมาก แต่มีเรื่องการขยายกิจการจริง มีผลประกอบการให้เห็นอย่างตื่อเนื่อง กำไรเพิ่มทุกปี ถ้าไม่เพิ่มก็มีเหตุผลที่ดีรองรับได้ว่ามันเป็นภาวะที่ไม่ดีชั่วคราว พวกนี้บางที P/E สูงนะ แต่มันก็มีพื้นฐานจริงที่เรายอมรับได้ ถ้าเกิดหุ้นราคามันตกลงมาก็ตกบน Trend ที่เติบโตอยู่ดี นอกจากงบการเงินแล้ว หุ้นพวกนี้ลองเช็คความได้เปรียบในการแข่งขัน Five Force Factor และ Swot เพิ่มเติมก็ดีนะ เพราะการเติบโตเฉยๆ มันไม่สู้การเติบโตที่ได้เปรียบในการแข่งขัน หรอก พวกนี้ DCA ได้ (ความเสี่ยงจะน้อยที่สุด)
3. หุ้นดีไม่มีคนซื้อขาย ราคาก็ไม่ไปไหน
อันนี้เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผมดูนะ หลายคนถามว่าตัวเองซื้อหุ้นดีแต่ทำไมราคาไม่ขึ้นเลย ถือจนรากงอกแล้วก็ไม่มีคนซื้อซักที คุณต้องแยกราคาออกจากพื้นฐานหุ้นด้วยนะ หุ้นดีมีการเติบโต มันก็คือหุ้นดีวันยังค่ำ ถ้าอยากได้หุ้นที่ราคามันไปด้วยก็ต้องมีคนซื้อขาย มีคนทำราคาและเมื่อ Fund Flow เข้าก็จะต้องเข้าหุ้นเป้าหมายของเราเช่นกัน
หุ้นดีแต่ราคาไม่ไปไหนมีด้วยหรอ? ลองคิดดูว่าถ้าธุรกิจหนึ่งกำไรเพิ่มขึ้น 20% มีการขยายกิจการแต่ราคาไม่ไปไหน ยังซื้อขายอยู่ที่ 10 บาทเท่าเดิม นั่นอาจจะแปลว่า ของดีราคาถูกนะนั่น แต่คนอื่นยังไม่เห็น อาจจะไม่มีสภา&