
"การปรับโครงสร้างหนี้" หรือ "Restructuring"จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เราไม่สามารถผ่อนหรือชำระหนี้สินตามที่ธนาคารกำหนดหลายงวดติดต่อกัน ซึ่งอาจเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น ถูกเลิกจ้างจากโควิด หรือ ประสบอุบัติเหตุจนไม่มีรายได้มาชำระ โดยสิ่งที่เราต้องทำ คือ ชี้แจงถึงสาเหตุและปัญหาให้กับทางธนาคารทราบทันที เพื่อหาทางออกร่วมกัน ทั้งนี้ส่วนใหญ่ธนาคารจะช่วยในการประนอมหนี้และเสนอให้เราปรับโครงสร้างหนี้ ยกตัวอย่าง เช่น จากที่ต้องผ่อนเดือนละ 20,000 บาท ธนาคารอาจจะปรับโครงสร้างหนี้ แล้วลดให้ผ่อนเดือนละ 5,000 บาท โดยยอดดังกล่าวอาจจะเป็นดอกเบี้ย จนกว่าเราจะปรับแก้ปัญหาส่วนตัว ค่อยกลับมาผ่อนเหมือนเดิม
"การรีไฟแนนซ์" หรือ Refinanceคือ การย้ายผ่อนสินเชื่อเดิมจากธนาคารนึงไปอีกธนาคารหนึ่งหรือธนาคารใหม่ที่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่า โดยการรีไฟแนนซ์นี้หลักๆ จะเป็น บ้านและคอนโด ซึ่งส่วนมากนิยมรีไฟแนนซ์ทุกๆ 3 ปี เนื่องจากเวลากู้บ้านหรือคอนโด เราจะได้รับดอกเบี้ยที่ถูกใน 3 ปีแรกนั้นเอง
การปรับโครงสร้างหนี้ ? การรีไฟแนนซ์เพราะฉะนั้นการรีไฟแนนซ์ ไม่ใช่ การปรับโครงสร้างหนี้แต่อย่างไร เพราะการรีไฟแนนซ์ คือ การขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารในการผ่อนชำระค่างวด ซึ่งจะทำให้เราประหยัดเงินได้มากกว่า โดยเราไม่เสียประวัติทางการเงิน แค่ต้องเตรียมตัวในการรีไฟแนนซ์ทุกๆ 3 ปี ส่วนการปรับโครงสร้างหนี้ คือ การจัดการตัวเองในเรื่องของการผ่อนชำระยอดค่าใช้จ่ายที่ค้างมาหลายงวด โดยไม่หนีหายไป แต่เป็นการปรึกษาและหาทางออกร่วมกัน โดยอาจผ่อนปรนด้วยการชำระน้อยลง ซึ่งยอดที่จ่ายจะเป็นดอกเบี้ย
คำแนะนำจาก aomMONEYหากประสบปัญหาในเรื่องค่างวดที่ต้องจ่ายรายเดือนกับทางธนาคาร ไม่ควรค้างจ่ายไว้นานแต่ควรไปปรึกษาเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนการรีไฟแนนซ์ คือ การมองหาโอกาสในการลดดอกเบี้ยในการจ่ายค่างวด โดยเงินที่เหลือสามารถนำไปใช้จ่ายด้านอื่นๆ ได้ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ หรือ การรีไฟแนนซ์ ควรประเมินสถานการณ์และวางแผนให้ดี สำหรับบทความในครั้งหน้า ทาง aomMONEY จะนำเสนอในเรื่องใด รอติดตามกันนะครับ
ขอบคุณครับ
บ.ก.aomMONEY
ติดตามความรู้เรื่องการเงินการลงทุนจาก aomMONEY
? Website : www.aomMONEY.com
? Youtube : https://www.youtube.com/AommoneyTH
? กลุ่มกองทุนไหนดี : https://www.facebook.com/groups/SelectedFund/
.