ผมเชื่อว่าอีกไม่เกิน 5 ปี พอร์ตนี้จะมีมูลค่าเกินล้านบาทแน่นอนครับ

เจอน้องคนนี้เมื่อ 3 ปีก่อน ตอนนั้นเค้าไม่มีเงินเก็บเลย ไม่มีประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ผ่อนรถเดือนละ 6-7 พันบาท จ่ายเบี้ยประกันรถปีละ 17,000 บาท !

โชดดีน้องเค้าไม่มีหนี้สินใดๆเลย

ปัจจุบันเงินเดือนประมาณ 2 หมื่นปลายๆแล้ว จากตอนเจอครั้งแรก 2 หมื่นต้นๆ หลังจากผมขออนุญาตนำพอร์ตกองทุนรวมของเค้าที่มีมูลค่าเกือบ 3 แสนบาท มาโพสต์ลงในเฟซบุ๊คของผมเพื่อเป็นกำลังใจให้เค้าภูมิใจและเป็นแบบอย่างของเพื่อนๆคนอื่นๆในเฟซบุ๊คได้เอาเป็นแบบอย่างในการออมเงิน และลงทุน

12819

 

12963544_1150800304939587_6757147386887876784_n

# ก็มีคำถามจากเพื่อนๆถามว่าเค้าเก็บเงินเดือนละเท่าไหร่

เก็บยังไงได้ 300,000 บาทใน 3 ปี !

คิดในกรอบเค้าคงไม่มีวันเก็บเงินได้ 300,000 บาท ภายใน 3 ปี(36เดือน)หรอกครับ ลองคิดดูซิครับ 300,000 หาร 36 เดือน ต้องเก็บเดือนละ 8,333 บาท

เงินเดือน 20,000 - ผ่อนรถ 7,000 - เก็บเงินลงทุน 8,333 เหลือใช้จ่ายแค่เดือนละ 4,667 บาท !

จะอยู่รอดรึ !!!!

แล้วค่าน้ำมันรถยนต์ ค่าอาหาร ค่าเครื่องสำอาง ค่ากินเที่ยวตามภาษาวัยรุ่นล่ะ จะเอาที่ไหน !

ถ้ากลับไปขอคุณพ่อคุณแม่อีก อย่าทำเลยครับเสียศักดิ์ศรีลูกผู้... หมด !

ผมแนะนำให้เริ่มเก็บแค่เดือนละ 1,000 -3,000 บาทแบบหักประจำพอ เก็บให้เป็นนิสัยเก็บแบบไม่สูญเสียความเป็นตัวตนเดิม อยากกินอยากเที่ยวให้เหมือนเดิม เก็บแบบมีความสุข ถ้าเก็บเงินแล้วทุกข์อย่าเก็บ !

การอยากมีเงินเก็บเยอะๆง่ายนิดเดียว แค่เลือก

1. ลดรายจ่าย (จะเกิดความทุกข์นิดๆเพราะต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ จากอยากใช้ก็ต้องอดใช้)

2. เพิ่มรายได้  (วิธีนี้ต้องเพิ่มทักษะการหารายได้ ต้องเรียนรู้ ต้องบริหารเวลา ท้าทายและจะสร้างความภาคภูมิใจในระยะยาว ถ้าโชคดีอาจพบอิสระภาพทางการเงิน)

หรือจะเลือกทั้ง 2 วิธีก็ไม่มีใครว่านะครับ

น้องคนนี้เลือกข้อ 2 เพิ่มรายได้ดีกว่า ไม่ขอลดรายจ่าย ผมก็เห็นด้วยผมอยากให้เค้ามีความสุขกับการออมลงทุน และนำศักยภาพในตัวออกมาใช้ดีกว่า เพราะอายุยังน้อย

น้องคนนี้เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีมากเป็นที่รักของเพื่อนๆในที่ทำงานแทบทุกคน ชอบช่วยเหลือลูกค้าที่เค้าต้องให้บริการจนลูกค้าทุกคนรักและไว้ใจมาก

ผมแนะนำรายได้เสริมจากอาชีพเสริมที่จะไม่กระทบกับงานหลักของเค้าในวันหยุดและต้องไม่เสียเงินไปลงทุนอะไรเพิ่ม

เพียงต้องลงทุนเพิ่มความรู้ให้ตัวเองเท่านั้น ให้เค้าเลือกเองตามใจเค้า เพื่อเอาเงินนี้ไปเก็บออมลงทุนไม่ให้กระทบรายได้จากเงินเดือนที่ได้รับทุกเดือน เลือกอาชีพเสริมดังนี้

1.สอบใบอนุญาตเป็นตัวแทนประกันชีวิต

เค้าจะได้ค่าคอมมิชชั่นปีแรกเฉลี่ย 18% - 40% แค่เค้าแนะนำให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่เค้ารักให้มีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล กรณีเจ็บป่วย เพราะทุกวันนี้ค่ารักษาพยาบาลแพงมาก จ่ายเบี้ยประกันถูกกว่าและเงินเบี้ยประกันส่วนนี้ก็เป็นเงินออมให้ลูกค้าด้วย มีแต่ได้กับได้หรือวิน-วิน

ถ้าเค้ามีลูกค้าซื้อประกันสุขภาพ 10,000 บาท เค้าก็จะมีเงินพิเศษออมลงทุนเพิ่มในเดือนนั้นแล้ว 1,800 - 4,000 บาท

ถ้าเค้ามีลูกค้าซื้อประกันสุขภาพ 100,000 บาท เค้าก็จะมีเงินพิเศษออมลงทุนเพิ่มในเดือนนั้นแล้ว 18,000 - 40,000 บาท

2. สอบใบอนุญาตเป็นโบรกเกอร์ประกันวินาศภัย

เค้าจะได้ค่าคอมมิชชั่นจากการขายประกันรถยนต์หรือประกันไฟบ้าน&คอนโดประมาณ15%-23%ทุกปี ถ้าลูกค้ายังคงต่อประกันกับเค้า เค้าก็จะได้เงินออมลงทุนเพิ่มแบบนี้ทุกปีตัวอย่าง เช่น

ถ้าเค้ามีเพื่อนหรือลูกค้า 100 คนที่มีรถยนต์แล้วต้องซื้อประกันรถยนต์ชั้น1อยู่แล้วจะของบริษัทประกันภัยยี่ห้ออะไรก็ได้

ขอแค่ซื้อผ่านเค้า สมมุติ ประกันรถยนต์คันละ 15,000 บาท x​100 คัน = 1,500,000 บาท × ค่าคอมมิชชั่น 15% = 225,000 บาท !

ก็มีเงินเก็บออมลงทุนแล้วทันที 2 แสนบาท ไม่ต้องไปยุ่งกับเงินเดือน

3. สอบใบอนุญาตเป็นผู้แนะนำด้านหลักทรัพย์จาก ก.ล.ต. (กรณีนี้ต้องจบปริญญาตรีด้วยนะครับสาขาใดก็ได้)

เค้าจะได้ค่าฟีจากบลจ.ที่ลูกค้านำเงินไปซื้อกองทุนรวมประมาณ 0.05% - 0.15% ไปตลอดตราบใดที่ลูกค้ายังคงลงทุนในกองทุนรวมนั้นๆ

คิดดูนะครับลูกค้าส่วนใหญ่ฝากเงินในธนาคารสมมุติ 1,000,000 บาท ได้ดอกเบี้ยหักภาษีแล้วยังไม่ถึง 0.5% เลย

ณ.ปัจจุบัน ถ้ามีเงินมากกว่า1 ล้านบาท ก็ต้องรับความเสี่ยงเองจากพ.ร.บ.เงินฝากที่กำหนดว่า ถ้าธนาคารล้มละลาย เงิน 1 ล้านบาทที่ฝากไว้ได้คืนแน่นอน ที่เหลือต้องฟ้องร้องกันเอง !

แต่ถ้าลูกค้าเข้าใจเรื่องความเสี่ยงจากการลงทุนในกองทุนรวมตราสารต่างๆ เช่น กองทุนรวมตารสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนคาดหวัง 3%-5% ก็จะทำให้เงินลูกค้าเพิ่มมูลค่าได้มากกว่าฝากธนาคาร 6 - 10 เท่าตัว !

อธิบายดังนี้

เงิน 1,000,000 บาท ในธนาคารได้ดอกเบี้ย 5,000 บาทต่อปี

เงิน 1,000,000 บาท ในกองทุนรวมตราสารหนี้ได้ผลตอบแทนประมาณการณ์ 30,000 -50,000 บาทต่อปี

มาดูรายได้พิเศษของเราแบบนี้ กรณีลูกค้าทุกคนหรือหลายๆคนซื้อกองทุนรวมจากบลจ.ไหนก็ได้ แต่ขอให้ซื้อผ่านเรารวมมีมูลค่า 100 ล้านบาท เราก็จะได้ค่าฟีทุกปี ปีละ 50,000 -150,000 บาท ตราบเท่าที่ลูกค้ายังไม่ปิดพอร์ตลงทุน เค้าเรียกว่าเหนื่อยครั้งเดียวสบายตลอดชีพ

4.เป็นนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์ หรือ เป็นนายหน้าปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์

ถ้าเป็นนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์ก็จะได้ค่าคอมมิชชั่น 3%-4% สมมุติอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 5 ล้านบาท เราช่วยเค้าขายได้ก็จะได้เงิน 150,000 - 200,000 บาทต่อครั้งเท่านั้น

ถ้าเป็นนายหน้าปล่อยอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าก็จะได้ค่าคอมมิชชั่น 1 -2 เดือนจากค่าเช่าตามตกลงกับเจ้าของทรัพย์สินนั้นๆ เช่น ช่วยลูกค้าปล่อยเช่าคอนโดที่มีค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท เราก็จะได้ค่าเหนื่อย 20,000 - 40,000 บาทนั้นเลยทันทีที่มีคนเช่าจากการแนะนำของเรา

ที่สำคัญต้องทำสัญญาด้วยนะครับ เพราะคนส่วนใหญ่ชอบโกง เวลาเห็นเงินทองเยอะๆ

5. เป็นผู้แนะนำหรือที่ปรึกษาวางแผนทางภาษี

วิธีนี้อาจยากนิดเราต้องเรียนรู้ลึกถึงหลักการทางภาษีอย่างถูกต้องทั้งภาษีบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล วิธียังไม่แนะนำเพราะต้องรู้จริง แต่ถ้ามีโอกาสมีเวลาเรียนร&#x

Related Story