ประเด็นที่ชอบพูดกันว่าเรียนมาแทบตายได้เงินเดือน 15,000 ลาออกดีไหม ไปทำอะไรเองจะได้มีอิสรภาพทางการเงิน
ตอนที่ผมเรียนจบใหม่ๆผมเองก็เดินเข้าเส้นทางงานประจำก่อนนะ เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนคนอื่นๆล่ะ เริ่มต้นเงินเดือน 19,000 (ไม่มีประสบการณ์มาก่อน) เงินเดือนผม Start ไม่ได้ต่างจากคนอื่นมากหรอก
ถามว่าเงินเดือนที่ได้น้อยไหม? ตอนนั้นก็ไม่แน่ใจแต่เอาหน่า อย่างน้อยสมัยเรียนหนังสือที่บ้านให้ไม่ถึง 10,000 เลย มันก็เยอะกว่าเกือบเท่านึงล่ะ
สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นก็คือการที่เราจะก้าวหน้าไปสู่รายได้และเงินเดือนสูงๆนั้นก็มีปัจจัยดังนี้นะครับ
1. สร้างตัวเองให้เป็น Specialist หรือ Management
เท่าที่ผมสังเกตุคือในองค์กรจะชอบคน 2 รูปแบบนี้ คือเราทำหน้าที่เราและพัฒนาให้เรากลายเป็นคนรู้ลึกๆในงานนั้นๆ งานหลายๆงานผมทำไปทำมากลายเป็นคนที่รู้คนเดียวในองค์กร นั่นแปลว่าถ้าขาดเราไป มันเดินต่อไม่ได้ จะหาคนมาแทนก็ต้องเรียนรู้งานอย่างเยอะ
ในความเป็นจริงของงานมันไม่ใช่แค่ทางทฤษฎี มันมีเรื่องการปฏิบัติ เทคนิคในการทำ ความสัมพันธ์ของบุคคลอีก เปลี่ยนคนทำงานฝีมือเหมือนกัน แต่มุมความสัมพันธ์บุคคลอาจจะต่างกันก็ได้
ในอีกทางคือการเป็น Management คือคนที่ต้องมองภาพในการบริการกว้างๆให้เป็น เชื่อมโยงให้เป็น ตัดสินใจเป็นและผลออกมาดี คนกลุ่มนี้ก็สามารถเติบโตได้ ผมทำงานมาเนี่ยมาอยู่ในเส้นทาง Specialist มากกว่านะ ผมบริหารคนไม่เก่งเท่าไหร่ แต่ถ้ามองภาพงานกว้างๆแล้วให้คนไปจัดการเนี่ยทำได้ งานพักหลังๆผมจึงเป็นแนว Consulting มากขึ้น
ประสบการณ์ตรงนี้มันจะทำให้เงินเดือนเราขึ้นเอง ถ้าไม่ขึ้นเดี๋ยวจะมีที่อื่นขึ้นให้ ในวงการทำงานมันหาตัวคนที่ทำงานประเภทเดียวกันได้ไม่ยากเท่าไหร่ ถ้าเราเด่น จะมี Head Hunter ซึ่งเป็นบริษัทล่าหัวคนเก่งๆ ได้รับมอบหมายงานจากบริษัทอื่นมาเชิญไปสัมภาษณ์และทำงานในค่าตัวที่สูงขึ้น
ผมเคยได้รับการทาบทามแบบนี้อยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่ละครั้งมีข้อเสนอเงินเดือนระดับ 1 แสนบาทขึ้นไป เคยมีถึง 2 แสนบาท (ตอนนั้นเกือบ 10 ปีละ เมื่อตอนผมอายุ 27-28) แต่ก็ต้องทราบด้วยว่าเงินเดือนเยอะมันมาพร้อมกับความรับผิดชอบเสมอ เรื่องเงินอาจจะไม่ได้สำคัญเท่า Work Life Balance ก็ได้
มันก็ทำให้ผมกลับมานั่งคิดเสมอๆในช่วงทำงานนะว่า ผมทำงานได้ดีพอที่เขาจะจ้างเราในราคาที่สูงขึ้นหรือเปล่า ไม่มีใครจ่ายตังเราเยอะๆโดยที่เราอยู่สบายๆในออฟฟิศหรอก การที่เราไม่สร้างตัวเองให้เชี่ยวชาญ มันมีคนทำแทนเราได้ และถ้าอยากได้เงินเดือนเยอะๆ เราพร้อมรับผิดชอบมากขึ้น จะทุ่มเทงานมากขึ้นกับเวลาบางส่วนที่เราต้องการใช้ชีวิตไหม? หรือเงินเดือนพอสมควรแต่ชีวิตไม่ปวดหัวดีกว่า?
2. อิสรภาพทางการเงินสร้างได้ด้วยตัวเองอีกทาง
ใครๆก็อยากรายได้เยอะ ทำงานแล้วเหนื่อยก็ต้องเก็บเงินบางส่วนให้เงินไปต่อเงินบ้างก็ดี ผมเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งที่ได้มองอนาคตทางการเงินของตัวเองค่อนข้างเร็ว แถมอยากมีรายได้ในรูปแบบอื่นๆเพิ่มจากงานประจำเลยทำให้ก้าวสู่วงการการเงินการลงทุน อยากมีเงิน อยากได้ปันผล ตอนนั้นผมก็ถูกเพื่อนถามนะว่าทำไมไม่ซื้อรถ ทำไมไม่ซื้อมือถือดีๆซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ทางสังคมและ Lifestyle และก็ดีใจที่ไม่ได้เดินเส้นทางที่เพื่อนแนะนำในเวลานั้น จากการเก็บออมลงทุนมาเรื่อยๆ ในเวลานี้ผมจะสร้าง Lifestyle แบบนั้นก็ไม่ยากล่ะ แค่เลือกว่าจะทำหรือไม่ทำมากกว่า
หลักการสร้างความมั่งคั่งมันไม่ได้ยากหรอก มีรายได้ สร้างเงินออม และต่อยอดความมั่งคั่งจากเงินออมให้งอกเงย Idea หนึ่งที่ผมได้มาจากการฟังอาจารย์ทางการเงินท่านหนึ่งแล้วมันจุดประกายชีวิตผมมากในเวลานั้นคือ หากเราลงทุนในทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้ในรูปแบบเงินปันผลที่มากกว่าค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเราได้ อิสรภาพทางการเงินมันก็จะเกิดขึ้นมา เราสามารถเอาเวลาไปทำในอีกหลายๆสิ่งที่เราต้องการและสังคมต้องการได้ ทรัพย์สินที่ว่ามันก็คือเครื่องมือการลงทุนที่เรารู้จักกัน ไม่ว่าจะเป็น หุ้น-กองทุนรวมที่จ่ายเงินปันผล อสังหาที่สามารถเก็บค่าเช่าได้ แต่ในระหว่างทางของการลงทุนมันก็มีทั้งเรื่องดีเรื่องร้ายระหว่างทางอยู่ดีนะ ตรงนี้เราก็ต้องเรียนรู้กันไป
คำเตือนจากประสบการณ์
“อย่าออกจากงานโดยไม่รู้จะทำอะไรต่อและไม่มีอะไรรองรับ”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีกระแสการออกจากงานอยู่เยอะ มีคนออกจากงานเพื่อนตามหาความฝัน และพอไม่เจอฝันก็เซ็ง ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยกลับเข้าไปทำงานประจำอีกที ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ออกจากงานประจำมาทำงานอิสระและธุรกิจส่วนตัว ตอนที่ออกมาก็พอมีเป้าหมายอยู่ระดับหนึ่งว่าจะทำอะไร แต่การเริ่มต้นทำงานของตัวเองมันไม่ได้ง่าย ต้องใช้เวลา สร้างเครดิต สร้าง connection ใหม่หมด ที่สำคัญคือเงินจะหมดก่อนไหมก็ไม่รู้
ช่วงนั้นผมลองคำนวณดูว่าถ้าผมไม่มีรายได้เลย ผมจะมีอะไรบ้าง? ผมเอาปันผลย้อนหลังจากหุ้นและกองทุนรวมมานั่งดู ก็พบว่าผมยังพออยู่รอดได้จากเงินตรงนี้ ถ้าเขายังจ่ายในอัตราผลตอบแทนที่ไม่ต่างจากเดิม มีเงินสดเก็บไว้ใช้ได้ประมาณ 1 ปี และอย่างน้อยก็ยังมีเงินจากหลักทรัพย์ที่ขายได้ถ้าจำเป็น (โดยปกติผมไม่ชอบซื้อๆขายๆนะ)
พอคำนวณตรงนี้แล้ว อยู่รอดได้ ก็เลยสามารถทำงานของตัวเองได้อย่างไม่กดดันเรื่องเงินทอง และพอได้เงินมาผมก็ใส่ๆลงไปในหุ้นและกองทุนรวมเพิ่มความมั่งคั่งเข้าไปเรื่อยๆอีก ก็เลยรู้สึกดีใจที่เรายังกินบุญเก่าที่ตัวเองสร้างเอาไว้ได้ เวลาที่รุ่นน้องมาถามว่าเริ่มต้นทำงานของตัวเองยากไหม? ผมก็จะตอบว่าทุกอย่างมันยาก มันไม่ได้มีแค่เรื่องงาน มีเรื่องการจัดการชีวิตด้วย แต่สิ่งที่เราควรจะเตรียมเอาไว้คู่กันคือฐานรองรับรายได้และทรัพย์สินที่สนับสนุนชีวิตเรา
และหากเราสร้างเนื้อสร้างตัวจากธุรกิจส่วนตัวได้ ก็ต้องไม่ประมาท เพราะอะไรก็ไม่แน่นอน ทำแล้วอยู่ๆก็เจ๊งได้ มันก็จะกลับไปวนลูปที่ผมบอกแหล่ะว่าเราต้องพัฒนาตัวเองต่อและอย่าลืมเก็บเงินเก็บทองไว้ใช้เพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงิน