สวัสดีครับผม กลับมาเจอกันอีกครั้งกับ “อัศวินกองทุน” แบบนี้เช่นเคยครับ สำหรับสัปดาห์นี้ก็เป็นสัปดาห์ที่สองของปี 2018 ซึ่งผมเชื่อเหลือเกินครับว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาต้องทำให้ใครหลายคนหน้าบานกันเลยล่ะครับ ฮั่นแน่ อยากรู้ใช่ไหมครับว่าเพราะอะไร ถ้าแบบนี้เรามาดูกันดีกว่าครับผม


ภาพรวมของตลาด

สาเหตุที่หน้าบานนั้นเริ่มต้นจากฝั่งพี่ใหญ่ไฟแรงอย่าง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวขึ้นนำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและมาตรการปรับลดภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ อีกด้วยครับ

ฝั่งด้านปู่ SET เอ้ย แบบนี้เรียกปู่ไม่ได้แล้วล่ะครับ! เพราะตลาดหุ้นไทยของเรานั้นก็ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทที่ดีขึ้นเช่นเดียวกันครับ

ส่วนแดนมังกรอย่างฝั่งตลาดหุ้นจีนเองก็ไม่ยอมครับ มีการปรับตัวขึ้น หลังจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อและดัชนีราคาผู้ผลิตประจำเดือน ธ.ค. ยังมีแนวโน้มที่ดี

ส่วนแดนภารตะอย่างตลาดหุ้นอินเดียก็ปรับตัวขึ้นหลังจากเศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากผลกระทบของนโยบายภาษี GST ตามมากันติดๆ ครับ

เพิ่มกันทุกที่ทุกทาง เหลือแต่ฝั่งราคาทองคำเท่านั้นครับที่มีการปรับตัวลงเล็กน้อย จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ หลายท่านออกมากล่าวสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งผิดกับราคาน้ำมันที่ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง หลังปริมาณสำรองน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ สะท้อนถึงอุปสงค์ที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัญหาการเมืองในอิหร่านทำให้เกิดความกังวลในเรื่องของอุปทานที่อาจจะหายไป

สรุปภาพรวมการลงทุน ช่วงวันที่ 15-19 มกราคม 2561 [WEEKLY OUTLOOK กับอัศวินกองทุน]

อั่นแน่ หน้าบานกันแบบนี้แล้ว ก็อย่าเพิ่งไว้ใจครับ เรามาดูกันต่อที่กลยุทธ์การลงทุนประจำสัปดาห์กันเลยดีกว่าครับ

กลยุทธ์ลงทุนในตลาดตราสารทุน

  • ตลาดหุ้นเกาหลี: เนื่องจากตลาดหุ้นเกาหลีได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวจากเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของการส่งออกที่นับว่าเป็นเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ในขณะที่ราคาของตลาดหุ้นเกาหลียังถือว่าถูกกว่าตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองในคาบสมุทรเกาหลีเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นเกาหลีกลับมาน่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นแนะนำซื้อสะสมต่อไปครับ
  • ตลาดหุ้นไทย จากเศรษฐกิจที่มีสัญญาณดีขึ้นในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ส่งสัญญาณฟื้นตัว ในขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐที่คาดว่าเม็ดเงินในปี 61 จะสูงขึ้น รวมทั้งโครงการ EEC จะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจและการลงทุนระยะถัดไป นอกจากนี้ การเลือกตั้งยังเป็นปัจจัยบวกที่ยังคงรออยู่ของตลาดหุ้นไทย ที่อาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนอีกทางหนึ่ง ปัจจัยโดยรวมนั่นส่งผลบวกเป็นหลักแบบนี้ คำแนะนำของผมก็ยังคงเป็นซื้อสะสมต่อไปครับ
  • ตลาดหุ้นเกิดใหม่ เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกขยายตัวดีขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออก อีกทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ส่วนทางอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ยังไม่มีสัญญาณเร่งตัว ทำให้ FED ไม่จำเป็นต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย และในขณะที่ ECB และ BOJ ยังจำเป็นต้องคงมาตรการ QE ต่อไป ทำให้ความเสี่ยงเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ยังไม่สูง เหตุผลดีๆ เหมือนเช่นเคย เมื่อตลาดดีทั่วไปตลาดเกิดใหม่ย่อมได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย คำแนะนำของผมคือสะสมต่อไปเช่นเดียวกันครับ
  • หุ้นโกลบอลเทคโนโลยี ปีนี้ผมมองว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการปฏิรูปนโยบายภาษีสหรัฐฯ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวสูง จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงรสนิยมของผู้บริโภคที่ใช้อินเตอร์เน็ต และเทคโนโลยี ดังนั้นหุ้นในกลุ่มนี้เป็นอีกตัวหนึ่งที่ควรจะสะสมเพิ่มเข้าไปในพอร์ทการลงทุนของเราครับ


สรุปคำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : จากที่แนะนำให้สะสมเพิ่ม 3 กลุ่ม นั่นคือ ตลาดหุ้นไทย (ที่น่าจะไปต่อ) ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (ที่ยังมีโอกาสสดใส) และหุ้นโกลบอลเทคโนโลยี (ที่มีโอกาสเติบโตไวในช่วงนี้) สำหรับสัปดาห์นี้อยากแนะนำให้สะสมเพิ่มในกลุ่มของตลาดหุ้นเกาหลีด้วยครับผม


กลยุทธ์ลงทุนในตลาดตราสารหนี้

  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ: เนื่องจากอัตราผลตอบแทนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น จากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน คำแนะนำในสัปดาห์นี้ขอให้เลี่ยงลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวไปก่อนครับ แต่ยังแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ High Yield สหรัฐฯ ที่จะได้อานิสงส์จากนโยบายลดภาษี และมีความน่าสนใจกว่าตราสารหนี้ประเภท investment grade ที่อัตราผลตอบแทนต่ำกว่ามากในรุ่นที่อายุคงเหลือใกล้เคียงกันครับผม
  • ตราสารหนี้ไทย: ช่วงนี้แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง หลังจากค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่า หนุนเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ไทย ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป และญี่ปุ่น ยังคงมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง ผมมองว่าเม็ดเงินต่างประเทศจะยังเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ไทยเนื่องจากผลตอบแทนสูงกว่า และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าอาจเป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจครับ

สรุปคำแนะนำการลงทุนในตลาดตราสารหนี้สัปดาห์นี้: ตอนนี้ผมยังแนะนำให้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ไทยระยะกลาง และตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่มี high yield และ short duration เป็นหลักครับ


กลยุทธ์ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก

  • ทองคำ: จากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องจากตลาดได้คาดการณ์ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบายลดภาษี รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ไว้มากแล้ว ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ขาดปัจจัยหนุนให้แข็งค่า นอกจากนี้ ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่มักปรับตัวขึ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนอยู่ ดังนั้นยังคงสะสมทองคำไปได้ต่อครับ

  • น้ำมัน: จากความต้องการน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลก ประกอบกับกำลังการผลิตและปริมาณสำรองน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ความตึงเครียดทางการเมืองในอิหร่าน จะช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันให้เพิ่มขึ้น จึงยังเป็นโอกาสอยู่ครับ ดังนั้นขอให้สะสมน้ำมันกันต่อไปครับผม

ภาพรวมโดยสรุปของสัปดาห์นี้


สถานการณ์โดยรวมยังคงสดใสอยู่นะครับ

โอกาสจะอยู่ที่ตลาดเกิดใหม่ ตลาดหุ้นไทยและฝั่งเอเชียอย่างเกาหลีเพิ่มขึ้น แถมมุมมองภาพใหญ่อย่างสหรัฐฯ นั้น ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสไปต่อได้อีกด้วย

(สัปดาห์นี้ถือว่าเป็นการคอนเฟิร์มสิ่งที่ผมคิดในสัปดาห์ก่อนครับ ดังนั้นติดตามกันให้ดีนะครับผม อิอิ)

ส่วนตราสารหนี้หรือสินทรัพย์ทางเลือกนั้นยังคงมีโอกาสอยู่เหมือนเดิมครับ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกลงทุนในแบบไหนให้เหมาะกับตัวเองครับ

ย้ำกันอีกทีก่อนจากกัน การลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้นอย่าลืมนำไปปรับใช้พิจารณาในการจัดพอร์ทของตัวเองอย่างเหมาะสมด้วยนะครับ เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีขึ้นกว่าเดิมครับผม

สำหรับสัปดาห์นี้ต้องลากันไปก่อน สวัสดีครับ


หมายเหตุ : *ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 11 มกราคม 2561 ทั้งนี้ เอกสารนี้จัดทำเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชักชวน ชี้นำ หรือ เสนอซื้อ-ขาย หลักทรัพย์ใดๆ  จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็นหรือคำแนะนำในการตัดสินใจการลงทุนทางการเงิน และทางธุรกิจแต่อย่างใดโดยสิ้นเชิง  ผู้ใช้ข้อมูลนี้ต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง