สวัสดีครับ อัศวินกองทุนคนนี้กลับมาอีกครั้ง เหลืออีกไม่นานก็จะถึงช่วงปีใหม่ 2561 บอกเลยครับว่าในปีหน้านี้ คอลัมน์นี้จะมีการปรับปรุงไปในทิศทางที่ทุกคนต้องร้องว้าวอย่างแน่นอนครับ! อย่าลืมนะครับว่า ถ้าคุณคิดจะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดี นี่คือคอลัมน์ที่ต้องติตดามคร้าบบบ
ฮ่าๆ ดูเหมือนจะโม้มากเกินไปเสียหน่อย แต่เอาเป็นว่า สำหรับสัปดาห์นี้ เรากลับมาดูกันที่ภาพรวมของตลาดกันก่อนดีกว่าครับ...
ภาพรวมของตลาด
เริ่มจากตลาดหุ้นในเอเชียส่วนใหญ่ปรับขึ้น หลังจากที่ FED ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และประกาศตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทั้งในปีนี้และปีหน้าซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีตามมาครับผม
เจาะลงมาดูรายละเอียดที่ฝั่งของตลาดหุ้นไทยกันบ้าง มีการปรับตัวขึ้นเช่นกัน ผมว่ามาจากแรงหนุนจากการลงทุนใน LTF และ RMF และการปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ของกองทุนต่างๆ หลังจากที่ทาง SET มีการประกาศรายชื่อหุ้นในดัชนี SET50 และ SET100 ชุดใหม่เพื่อลงทุนในครึ่งปีแรกของปีหน้าครับ
ส่วนทางฝั่งตลาดหุ้นจีนนั้น มีทิศทางค่อนข้างผันผวนในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากการที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาค่อนข้างคงที่ รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลางสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนมากขึ้น ตรงนี้ต้องจับตาดูให้ดีครับ
ข้ามกลับไปอีกฝั่งหนึ่งบ้าง ทางพี่ใหญ่อย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่หยุดครับ มีการปรับตัวสูงขึ้น หลังมีการประกาศอัตราว่างงานสหรัฐฯ ลดลงอยู่ระดับต่ำสุดในรอบ 17 ปี อยู่ที่ 4.1% และนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่านโยบายปฎิรูปภาษีจะดำเนินการได้เร็วอย่างแน่นอน
ท้ายสุด มาดูฝั่งสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำกับน้ำมันกันบ้าง ราคาทองคำปรับตัวขึ้นหลังจาก FED ขึ้นดอกเบี้ยแต่ไม่ปรับการคาดการณ์ดอกเบี้ยปีหน้าขึ้น ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ส่วนราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หลังมีปริมาณสำรองน้ำมันสหรัฐฯ อยู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ ต.ค. 2558 และมีการปิดท่อส่งน้ำมัน Forties ซึ่งเป็นท่อที่ใหญ่ที่สุดในทะเลเหนือของอังกฤษไปครับ
สัปดาห์นี้ยังมีทิศทางทรงๆ กันอยู่เหมือนเคยครับ สมกับเป็นช่วงปลายปีเสียจริง เอาล่ะครับ เรามาดูกันที่กลยุทธ์การลงทุนกันดีกว่าครับ
กลยุทธ์ลงทุนในตลาดตราสารทุน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ คำแนะนำยังคงเป็น “ซื้อ” หุ้นสหรัฐฯ อยู่เหมือนเดิมครับ เพราะจากความคืบหน้าของการผ่านร่างนโยบายปฏิรูปภาษีที่อาจจะเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ ซึ่งประกอบไปด้วยการลดภาษีรายได้บุคคลและภาษีในภาคธุรกิจ ที่จะส่งผลบวกโดยตรงต่อการบริโภคในประเทศ และจะช่วยสนับสนุนการจ้างงานและการลงทุนภาคเอกชนต่อไป ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีต่อเนื่องแบบนี้ ยังไปต่อได้ครับผม
ตลาดหุ้นไทย เช่นเดียวกันครับ ในฝั่งของบ้านเรา ผมมองว่ายังแนะนำให้ “ซื้อ” หุ้นไทยจากเศรษฐกิจที่มีสัญญาณดีขึ้นในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะการส่งออกที่ขยายตัวดีตามภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ และการใช้จ่ายภาครัฐที่คาดว่าเม็ดเงินในปี 61 จะสูงขึ้น รวมทั้งโครงการ EEC จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในภาคเอกชน นอกจากนี้ การเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงปลายปีหน้าจะช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจการลงทุนในเชิงบวกให้มากขึ้น ดังนั้นทิศทางของหุ้นไทยน่าจะสดใสเลยล่ะครับ
ตลาดหุ้นจีน ฝั่งแดนมังกรนั้น ผมแนะนำให้ “ซื้อ” หุ้นจีนเฉพาะ H-share เท่านั้นครับ หลังจากที่ตลาดปรับตัวลงมาจากความกังวลของนักลงทุนต่อนโยบายภาครัฐ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจีนยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้การปรับตัวลงเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนต่อครับ ยังไงระยะยาวผมมองว่าไปต่อได้ ดังนั้นจัดกันต่อไปได้ครับ
ตลาดหุ้นเอเชีย แนะนำให้ทยอยสะสมไปเรื่อยๆ ครับ เนื่องจากตลาดหุ้นได้รับประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกขยายตัวดีขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออก ส่งผลให้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ยังไม่มีสัญญาณเร่งตัว ทำให้ FED ไม่จำเป็นต้องรีบขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ ECB และ BOJ ยังจำเป็นต้องคงมาตรการ QE ต่อไป ทำให้ความเสี่ยงเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ยังไม่สูงมากนักครับ ดังนั้นถ้ามีโอกาสและเห็นจังหวะ ผมว่าจัดต่อไปได้เลยครับ
สรุปคำแนะนำการลงทุนตราสารทุนในสัปดาห์นี้ : เน้นไปที่การลงทุนระยะยาวที่ยังไปต่อได้ครับ แนะนำให้สะสมเพิ่มเติมทั้งหุ้นสหรัฐฯ ไทย เอเชีย และจีน H-Share เพราะแนวโน้มระยะยาวน่าจะสดใสครับผม
กลยุทธ์ลงทุนในตลาดตราสารหนี้
ตราสารหนี้สหรัฐฯ ยังคงแนะนำให้ทยอยสะสมตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี และ high yield สหรัฐฯ จากเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ดีขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวดีมากขึ้นจากนโยบายปฏิรูปภาษี โดยความเสี่ยงต่อตราสารหนี้ต่างประเทศลดลงหลังจาก FED ทำการขึ้นดอกเบี้ยแต่ไม่ปรับการคาดการณ์ดอกเบี้ยในปีหน้าขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีสัญญาณเร่งตัว ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศยังมีความน่าสนใจอยู่ครับ
ตราสารหนี้ไทย แนะนำให้ชะลอลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย เนื่องจากผลตอบแทนในหลายช่วงอายุต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงไม่จูงใจ ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเร่งตัวดีขึ้นในปีหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อตลาดหุ้นมากกว่าตราสารหนี้ครับ
สรุปคำแนะนำการลงทุนตราสารหนี้ในสัปดาห์นี้ : ตอนนี้แนะนำให้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่มี high yield และ short duration เป็นหลักครับ
กลยุทธ์ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก
ทองคำ ผมยังแนะนำให้ทยอยสะสมเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังไม่มีสัญญาณเร่งตัว ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ยังไม่ปรับตัวขึ้นรวดเร็ว ลดแรงกดดันต่อราคาทองคำอยู่ครับ นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือและการประกาศรับรองให้กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล จะทำให้ความต้องการถือทองคำเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตครับ
น้ำมัน เช่นเดียวกันครับ ผมแนะนำให้ทยอยสะสมน้ำมันหลังจากกลุ่มประเทศ OPEC และ Non-OPEC ตกลงต่ออายุการควบคุมกำลังการผลิตไปจนถึงปลายปี 2018 ซึ่งจะทำให้อุปทานน้ำมันดิบล้นตลาดลดลงเร็วกว่าการคาดการณ์ นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเร่งตัวดีขึ้นในปีหน้าจะช่วยให้ปริมาณการบริโภคน้ำมันสูงขึ้นด้วยครับผม
สรุปคำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกสัปดาห์นี้ : แนะนำให้ยังสะสมต่อไปครับสำหรับทองคำและน้ำมัน ผมว่ายังไปต่อครับ จัดเข้าพอร์ตเพิ่มไปเรื่อยๆ ได้ครับ
ภาพรวมโดยสรุปของสัปดาห์นี้
สำหรับแผนการลงทุนในสัปดาห์นี้นั้น ยังสามารถสะสมต่อไปได้ครับกับตัวเดิมๆ เพราะภาพรวมของการปรับตัวลดลงบางตลาดยังเป็นโอกาสสำหรับเราอยู่ครับ
ส่วนตัวที่ไปต่อก็เพราะว่าอนาคตนั้นสดใสและน่าสนใจครับ ตอนนี้ได้หมดถ้าสดชื่นครับ ทั้ง สหรัฐฯ ไทย เอเชียโดยรวม และจีน H-SHARE ครับ สะสมไปได้เรื่อยๆ ครับสำหรับช่วงนี้
ทางฝั่งของตราสารหนี้ ยังแนะนำเหมือนเดิมให้ลงทุนในกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่มี high yield และ short duration เหมือนสัปดาห์ก่อนครับ ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำกับน้ำมัน นั้นยังคงเพิ่มเติมได้เรื่อยๆ ครับผม
เอาล่ะครับ สุดท้ายก็ขอฝากเหมือนเช่นเคยครับ ยังไงอย่าลืมติตตามสถานการณ์ลงทุนประจำสัปดาห์ และกลยุทธ์ในการลงทุนดีๆ กับผม อัศวินกองทุน และ Weekly Outlook แบบนี้เป็นประจำต่อเนื่องได้ที่นี่ตลอดปีนี้ครับ และฝากติดตามกันต่อในปีนี้ด้วยนะครับผม
หมายเหตุ : *ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2560 ทั้งนี้ เอกสารนี้จัดทำเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชักชวน ชี้นำ หรือ เสนอซื้อ-ขาย หลักทรัพย์ใดๆ จึงไม่ถือว่าเป็นการให้ความเห็นหรือคำแนะนำในการตัดสินใจการลงทุนทางการเงิน และทางธุรกิจแต่อย่างใดโดยสิ้นเชิง ผู้ใช้ข้อมูลนี้ต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง