ไม่ได้มาสปอย์หนัง แต่อยากจะบอกว่าในหนังเรื่อง Freelance นี่เหมือนชีวิตกับหลายๆคนมากเลย อย่างผมเองนี่ก็อินมากเพราะเหมือนเรื่องของตัวเอง ที่เวลาทำงานไม่ค่อยเหมือนใคร รับโปรเจคมาบางทีก็ทำงานกันแบบหามรุ่งหามค่ำเพราะมันสนุกกับงาน จนหลายๆครั้งเราเองก็ลืมเรื่องต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “สมดุลของชีวิต”
บทความนี้ผมเลยจะมาเล่าให้ฟังครับว่าเมื่อเราดูละครย้อนดูตัวแล้ว สิ่งที่เป็นข้อคิดต่างๆมีอะไรบ้าง
- เงินนั้นสำคัญแต่สุขภาพสำคัญกว่า : ผมเชื่อว่าคนทำงานหลายๆคนอยากเห็นความสำเร็จของงานตัวเอง ทำงานกับหามรุ่งหามค่ำแล้วสุดท้ายกลายเป็นว่าได้เงินมากมาย แต่เกิดเจ็บป่วยต้องไปหาหมอ จ่ายค่ายาไปกัน 6,000 - 7,000 บาท แบบในหนัง ต้องอย่าลืมว่าร่างกายของเรานั้นมีลิมิตในการทำงาน ถึงแม้การได้รายได้มาเยอะมากแต่เราต้องแลกกับความล้มเหลวของร่างกายเรา ต่อให้ได้เงินเป็นหลักล้านมันก็ไม่คุ้มค่ากับชีวิตอยู่ดี
- การแบ่งเวลาจะช่วยสร้างสมดุลชีวิตและการเงิน : ชีวิตเรามีเรื่องมากมายกว่าการทำงานเพียงอย่างเดียว อย่างว่านะครับหลายคนทำงานฟรีแลนซ์ ทุกวินาทีนั้นมีค่ามาก หากสามารถทำงานได้ก็อยากจะทำงานเก็บเงินไว้ใช้เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะตกงาน แต่หลายๆคนทำงานเก็บเงินได้เป็น 10 ล้าน แต่ตายไปโดยไม่ได้ใช้ซักบาทก็เหมือนกับไม่มีเงินอยู่ดี ดองไว้อยู่ในธนาคารนั่นแหระ อย่าพวงกับอนาคตทางการงานจนเกินไป สร้าสมดุลให้ชีวิตด้านอื่นๆบ้าง ไปเที่ยวเล่น ดูหนัง ทำงานอดิเรกอื่นๆบ้าง และต้องอย่าลืมว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้เยอะมาก เล่นกีฬาวันละ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย นอนให้เต็มทีด้วยนะครับ
- อย่าลืมเรื่องหลักประกันของชีวิต : ทุกคนมีโอกาสป่วยได้ คนทำงานเป็นพนักงานประจำอาจจะมีสวัสดิการ มีประกันสังคมอยู่โดยบริษัทเป็นผู้ทำให้ แต่ Freelance หลายคนนั้นอาจจะลืมตรงนี้ไป การมีหลักประกันอย่างเช่น การประกันตัวเองในประกันสังคม การทำประกันชีวิต ประกันโรคภัยไข้เจ็บก็จะช่วยให้เราลดความเสี่ยงทางการเงินไปได้มาก เวลาเป็นอะไรไปกก็ยังมีประกันค่อยช่วยจ่ายเงินให้อุ่นใจนะครับ นอกจากนี้แล้วเมื่อเราทำงานก็ควรจะแบ่งเงินบางส่วนมาลงทุนบ้าง เกิดเป็นอะไรไป หรือตกงานขึ้นมาก็ยังมีทรัพย์สินที่ช่วยให้เราดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดีครับ
- การมีเพื่อนดีๆจะช่วยให้งานง่ายขึ้น : ชีวิต Freelance ถ้าเราทำงานคนเดียว ทุกอย่างเราก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง แต่ถ้าเรามีเพื่อนค่อยช่วยคิดงาน ก็สามารถทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น บางครั้งผมเองก็มองว่าการมีทีมดีๆ แบ่งงานกันเป็นส่วนๆ ก็จะทำให้เราสามารถร่วมให้บริการลูกค้าได้ดี ไม่หลุดงาน ช่วยๆกันตรวจหลายๆตา ใครเหนื่อยก็พัก ใครยุ่งๆก็หยุดรับงาน ใครป่วยก็ให้คนอื่นทำแทนได้ และอย่าลืมว่าเราเองไม่สามารถทำงานบางงานได้ตลอดไป การสอนงานน้องๆให้เข้ามาทำงานแทนเราในบางเรื่องได้โดยเรานำเวลาที่เหลือไป Focus เรื่องที่สำคัญมากกว่าก็จะช่วยทำให้การทำงานเราก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคงเช่นกันนะครับ
- อย่าลืมเรื่องครอบครัวและความสัมพันธ์ต่างๆ : จำได้ไหมครับว่า ตอนเด็กๆเวลาเราอยากไปไหน อยากกินอะไร พ่อแม่ก็พยายามทำให้ถึงแม้ว่าเขาจะยุ่งๆก็ตาม แต่เมื่อเราโตขึ้น หลายคนกลับเอางานยุ่งๆเป็นข้ออ้างในการเลื่อนทำสิ่งต่างๆให้ท่าน (แต่ดันมีเวลาให้แฟน) แบ่งเวลาให้ครอบครัวบ้าง เพื่อนบ้าง นัดกินไปเที่ยวไปกินทานข้าวเปลี่ยนบรรยากาศที่เครียดๆจากงานก็ดีนะครับ
สรุป ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตามแต่ อย่าลืมสร้างสมดุลให้กับชีวิตของตัวเองนะครับ และเราก็จะมีความสุขแบบสมบูรณ์เลย