พี่มั่นคง : น้องมั่งคั่งคิดว่าเงินเดือนที่ได้มา จะเอาไปเก็บไว้เฉยๆ หรือว่าเอาไปลงทุนด้วยดี?

น้องมั่งคั่ง : ขอบคุณสำหรับคำถามค่ะ... น่าคิดเหมือนกันนะคะพี่มั่นคง จริงๆ หลายคนก็บอกว่าออมเงินเฉยๆ มันก็ไม่งอกเงยไง ต้องเอาไปลงทุนบ้าง

 

"เก็บเงินไว้เฉยๆ ทำไม เอาไปลงทุนสิ! ผลตอบแทนสูงกว่าเห็นๆ" เป็นคำพูดที่เราได้ยินแล้วต้องเอากลับมาคิดว่า "มีเงินออม...สู้เอาไปลงทุนไม่ได้จริงๆ เหรอ?"

 

เหตุผลที่ต้องตั้งคำถามกลับไป เพราะหลายคนยังมีข้อสงสัย และเลือกไม่ถูกว่าถ้ามีเงินก้อนนึงจะเลือกทำอะไรก่อนดี ระหว่างเก็บออมเอาไว้... กับเอาเงินไปต่อยอด  ดังนั้นบทความตอนนี้ขอเริ่มต้นที่ความเหมือนหรือความแตกต่างของสองเรื่องนี้กันก่อน

 

info-ออมเงิน

 

การออมเงิน คือ การนำส่วนต่างระหว่างรายได้และรายจ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง มาสะสมไว้สำหรับเป้าหมายในอนาคต เช่น เอาไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน หรือเพื่อเป้าหมายต่างๆ โดยเงินออมนั้นจำเป็นต้องมีสภาพคล่องสูง เพื่อให้สามารถเบิกถอนได้ตามที่ต้องการ จึงทำให้มีผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำ

 

ส่วน การลงทุน คือ การนำเงินที่เรามีไปสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยต้องยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปได้เช่นกันว่าอาจจะเกิดการขาดทุน และบางครั้งมีสภาพคล่องที่น้อยกว่าการออม

 

ดังนั้น การออมและการลงทุน จะแตกต่างกันตรงที่ ผลตอบแทน ความเสี่ยง และสภาพคล่องนั่นเอง

 

อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ตอนต้นของบทความว่า คนส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับการลงทุน เพราะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งมันน่าดึงดูดใจจนใครหลายคนมองข้ามสิ่งที่เรียกว่า “ความเสี่ยง” และ “สภาพคล่อง” กันไปเลย

 

หลายๆ คนตัดสินใจนำเงินส่วนใหญ่ที่มีไปลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงมาก และก็ต้องลำบากเมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินต้องใช้เงิน เพราะบางครั้งหุ้นที่ถือไว้ยังขาดทุนอยู่ (จากความเสี่ยง) หรือไม่สามารถถอนออกมาได้ทันใจ (ขาดสภาพคล่อง) ดังนั้น “เงินออม” จึงถือเป็นสิ่งสำคัญอีกส่วนหนึ่งสำหรับการวางแผนการเงินของทุกๆคน เรียกได้ว่าไม่แพ้การลงทุนเลย

 

โดยเฉพาะเงินออมฉุกเฉิน ที่ต้องให้ความสำคัญลำดับแรกก่อนการลงทุน เพราะว่าการลงทุนที่ดีนั้น เราต้องมีความพร้อม ไม่ใช่กระโจนเข้าไปหาความเสี่ยงโดยไม่ได้เตรียมความพร้อมใดๆไว้เลย

 

เงินออมฉุกเฉิน คือ เงินออมที่ต้องมีไว้อย่างน้อยประมาณ 6-12 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดฝันต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ตกงาน คนที่บ้านป่วย หรือภาระที่ต้องช่วยเหลือด้านอื่นๆ และเมื่อเก็บเงินออมฉุกเฉินได้แล้ว จึงค่อยพิจารณาลงทุนตอนนั้นก็ยังไม่สาย

 

ถ้าชีวิตคือการเดินทาง เงินออมเปรียบเสมือนกับเสบียงสำรองที่เราเอาไว้ใช้เมื่อจำเป็น ส่วนการลงทุนก็คือการเดินออกไปหาหนทางใหม่ๆที่ทำจะให้ชีวิตเราไป ถึงเป้าหมายได้เร็วที่สุด ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสบายใจด้วยผลตอบแทนที่ได้รับ

 

อ้อ.. ช้าก่อน!! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า เมื่อมีเงินออมฉุกเฉินแล้วเราไม่จำเป็นต้องออมเงินอีกต่อไป เพราะเราควรฝึกวินัยการออมของเราอยู่เสมอ อาจจะเป็นการออมเงินในเงินฝากประจำของธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง หรืออาจจะเลือกวิธีการออมเงินที่ได้ทั้งดอกเบี้ย และความสบายใจเพิ่มด้วยความคุ้มครองชีวิตของผู้ออม ป้องกันความเสี่ยงและดูแลคนข้างหลัง อย่างการทำประกันแบบสะสมทรัพย์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะออมหรือลงทุน...ก็ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการวางแผนการเงิน เพิ่มพูนให้เงินที่มีอยู่นั้นงอกเงย แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือการเตรียมแผนรองรับความเสี่ยงควบคู่เอาไว้ด้วย ตามที่ได้เล่าไปในเรื่อง “การวางแผนการเงิน” ตอนก่อนหน้านี้

 

ยกตัวอย่างเช่น... ทำประกันสะสมทรัพย์ ควบคู่ไปกับการลงทุนเพิ่มเติมในกองทุนรวมแบบต่างๆ เช่นกองทุนรวมตลาดเงินที่ไม่ต้องลงทุนยาวและมีความเสี่ยงต่ำ หรือกองทุน LTF / RMF ที่ให้ประโยชน์เรื่องการสะสมทรัพย์ระยะยาวและลดหย่อนภาษี พร้อมกับเตรียมเงินออมฉุกเฉินเอาไว้ด้วย...เท่ากับว่ามีครบทั้งเงินออม ผลตอบแทน ความคุ้มครองชีวิต และยังสามารถคงสภาพคล่องเพื่อการใช้จ่ายในยามจำเป็นไปพร้อมๆ กัน ถ้าเตรียมพร้อมรอบด้านได้แบบนี้...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็พร้อมรับมือเสมอ และสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตัวเองวางไว้ได้ครับ

 

พี่มั่นคง : ทีนี้น้องมั่งคั่งคงรู้แล้วนะครับ ว่าเราควรเก็บเงิน หรือว่าลงทุนดี

น้องมั่งคั่ง : รู้แล้วค่ะพี่มั่นคง ว่าจริงๆ ควรทำทั้งสองอย่างตามความพร้อมที่เรามีและต้องมั่นใจว่ามีเงินสำรองฉุกเฉินเตรียมไว้ให้เพียงพอด้วย เพื่อรักษาสภาพคล่องในยามจำเป็นค่ะ