ผมว่าถ้าเรานึกถึงยี่ห้อของสีทาอาคารบ้านเรือนก็คงจะนึกถึง TOA กันเป็นอันดับต้นๆ แน่นอน บริษัทฯ นี้ผมได้ยินชื่อมาตั้งแต่เด็กๆ ตามสื่อโฆษณาต่างๆ ว่าเป็นสีที่ปราศจากสารตะกั่วและปรอท เวลาที่ใครจะทาสีก็จะไปซื้อสียี่ห้อนี้มาใช้ นับว่าเป็นแบรนด์ที่หลายๆ คนคุ้นเคยกันไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ ปัจจุบัน TOA เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมสีทาอาคารสำหรับลูกค้าทั่วไปในประเทศ โดยมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 48.7% เมื่อพิจารณาจากรายได้จากการขาย (ข้อมูล 2559 จาก Frost & Sullivan) แถมยังมีช่องทางจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกจำนวน 6,217 ร้าน ครอบคลุมพื้นที่ 77 จังหวัดทั่วไทย และไปไกลถึงขนาดตั้งโรงงานในภูมิภาคอาเซียน รวมแล้วมีโรงงานที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมดถึง 8 แห่งใน 6 ประเทศ (ได้แก่ ไทย เวียดนาม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย เมียนมาร์ กัมพูชา) จึงถือได้ว่าเป็นบริษัทที่อยู่คู่ประเทศไทยมาอย่างยาวนานอีกบริษัทหนึ่งเลย
ถึงตอนนี้ TOA พร้อมเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วครับ โดยในบทความนี้ผมจะเล่าให้ฟังว่า ที่มาที่ไปของการออก IPO มีรายละเอียดอย่างไร โดยจะแบ่งหัวข้อในการพูดคุย ดังนี้
- ข้อมูลธุรกิจของบริษัทฯ
- โครงสร้างรายได้และกำไรของกิจการ
- รายละเอียดของการระดมทุน
- ความเสี่ยงที่เราควรทราบของธุรกิจนี้
มาดูแต่ละหัวข้อกันเลยนะครับ
1. ข้อมูลธุรกิจของบริษัทฯ
TOA เป็นบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวที่ผู้ก่อตั้งมีประสบการณ์มากกว่า 50 ปี จึงถือได้ว่าเป็นบริษัทที่อยู่คู่ประเทศไทยมาอย่างยาวนานอีกบริษัทหนึ่งและยังพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ปลอดภัยต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์อยู่ 2 กลุ่ม ดังนี้
ผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร
ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เป็นสินค้าหลักของทางบริษัทฯ เลยก็ว่าได้นะครับ จากข้อมูลล่าสุด รายได้ของบริษัทฯ ในครึ่งปีแรกของปีนี้ 68.9% มาจากการขายสีทาอาคารนี่ล่ะ โดยทางบริษัทฯ มีการผลิตสีหลากหลายเกรด ตั้งแต่พรีเมียม ปานกลาง และอีโคโนมี่ ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกใช้ได้ ตามคุณภาพและราคาที่ต้องการ
ในส่วนของรายชื่อตราสินค้าภายใต้บริษัทฯ นั้น ผมเชื่อว่าทุกคนคงคุ้นหูกันดีแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นสีทีโอเอ เซเว่น อิน วัน สีโฟร์ซีซั่นส์ หรือสีซุปเปอร์ชิลด์ แม้แต่สีกัปตัน หรือสีปามมาสติก ที่ตอนแรกนึกว่าเป็นคู่แข่ง ก็ยังเป็นตราสินค้าของบริษัทย่อยของ TOA ด้วยเช่นกัน
ผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวสำหรับงานไม้ ผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์ที่มีความทนทานสูง ฮาร์ดแวร์และผลิตภัณฑ์อื่น โดยในครึ่งแรกของปี 2560 รายได้ของธุรกิจกลุ่มนี้มีสัดส่วนอยู่ที่ 27.5%
สำหรับตราสินค้าของธุรกิจกลุ่มนี้ก็หลากหลายไม่แพ้กลุ่มสีทาอาคาร อาทิ วู๊ดสเตน เฮฟวี่การ์ด ทีโอเอเคมีก่อสร้าง และอีกหลายแบรนด์เลยนะครับ พูดง่ายๆ ว่าหากเราไปเดินตามท้องตลาด แล้วหยิบสีหรือสารเคลือบผิวขึ้นมาสักยี่ห้อหนึ่งก็มีโอกาสที่จะหยิบหนึ่งในตราสินค้าของ TOA ได้
ภาพข้างล่างนี้เป็นภาพของโครงสร้างธุรกิจครับ จะเห็นได้ว่า TOA นั้นมีบริษัทย่อยในประเทศไทยอยู่ 4 บริษัท โดยทั้งหมดนั้น TOA ถือหุ้น 100% และมีบริษัทย่อยในต่างประเทศ ทั้งเวียดนาม ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมาร์ และกัมพูชา ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศนั้น บางบริษัท TOA ก็ไม่ได้ถือหุ้น 100% แต่เป็นการร่วมทุนกับผู้ประกอบการในประเทศนั้นๆ ครับ
จะเห็นได้ว่าจุดแข็งของ TOA คือประสบการณ์ในการทำธุรกิจอันยาวนาน มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย รวมถึงมีการขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง จนเป็นเบอร์หนึ่งของเมืองไทย และกำลังขยายไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วยครับ
2. โครงสร้างรายได้และกำไรของกิจการ
ในมุมของโครงสร้างรายได้ตามประเภทผลิตภัณฑ์ จะเห็นได้ว่าอัตราส่วนค่อนข้างคงที่ โดยผลิตภัณฑ์ประเภทสีทาอาคารมีสัดส่วนประมาณ 68-70% นอกนั้นจะเป็นผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น รวมถึงสินค้าประเภทอื่น
มุมมองต่อมาคือ แบ่งตามประเภทช่องทางการจัดจำหน่าย TOA มีช่องทางจำหน่ายที่ครอบคลุมและหลากหลาย ทั้งผ่านทางผู้ค้าปลีก ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) และช่องทางอื่นๆ ได้แก่ งานโครงการ และการส่งออก ซึ่งเรามักจะเห็นป้าย TOA ตามร้านค้าต่างๆ ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ หรือในต่างจังหวัด เรียกได้ว่าไปที่ไหนก็เห็นป้ายของ TOA ช่องทางจำหน่ายที่ครอบคลุมและหลากหลายของ TOA เป็นจุดแข็งที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าของ TOA ได้โดยง่ายทุกที่ทุกเวลา สัดส่วนการขายประมาณ 74% มาจากร้านค้าปลีก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะ TOA จำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกจำนวน มากถึง 6,217 ร้านค้า ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย
มุมมองของโครงสร้างรายได้ตามประเทศนั้น ตลาดหลักของ TOA อยู่ในเมืองไทย คิดเป็นอัตราส่วนประมาณ 90% และอีกประมาณ 10% เป็นรายได้จากต่างประเทศ โดยมีประเทศเวียดนามเป็นตลาดใหญ่ที่สุดครับ จะเห็นว่ารายได้จากการขายในต่างประเทศนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงระหว่างปี 2557 ถึง 2559 แสดงให้เห็นว่าการขยายไปยังต่างประเทศของ TOA ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ TOA ยังมีศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจะเปิดสร้างโรงงานเพิ่มเติมอีกสามแห่ง ในอินโดนีเซีย เมียนมาร์ และกัมพูชา โดยโรงงานทั้งสามจะเริ่มดำเนินการในปี 2561 ซึ่งเมื่อรวมกำลังการผลิตของโรงงานใหม่ทั้ง 3 แห่ง เมื่อก่อสร้างเสร็จและแผนการปิดโรงงานย่างกุ้งซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในต้นปี 2562 จะทำให้มีกำลังผลิตรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 14.5 ล้านแกลลอนต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 16.5 ของกำลังผลิตรวมในปัจจุบัน (ไม่รวม TOA SkimCoat (Cambodia)) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการส่งออกและการกระจายสินค้าในประเทศดังกล่าวง่ายขึ้นในอนาคต
ทีนี้เรามาดูในเรื่องของกำไรบริษัทฯ กันบ้างนะครับ อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ นั้นน่าสนใจมาก โดยตั้งแต่ปี 2557-2559 มีการเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 30.3% เป็น 35.7% และ 38.1% ซึ่งเกิดขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง
แม้ว่าส่วนของรายได้รวมในปี 2559 จะลดลงจาก 2557 และ 2558 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราดูในแง่ของค่าใช้จ่ายรวมมีแนวโน้มที่ลดลง รวมถึงอัตรากำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปี คือ 7.9% 12.4% และ 15.2% ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าบริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทีมงานบริหารก็ยังจัดการให้บริษัทฯ มีกำไรเพิ่มขึ้นได้จากการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นผลทำให้กำไรสุทธิของบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2557 ถึง 2559
ข้อมูลอีกส่วนที่บอกให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ TOA ก็คือ ROA ROE และ Cash Cycle ของบริษัทฯ ซึ่ง ROA และ ROE ของ TOA นั้นถือว่าค่อนข้างสูงโดยในปี 2559 TOA มี ROA อยู่ที่ 22.2% และ ROE ที่สูงถึง 93.4% ในส่วนของ Cash Cycle ซึ่งเป็นตัวบอกว่าบริษัทใช้ working capital มากขนาดไหนนั้น บางปี TOA มี Cash Cycle ติดลบด้วยซ้ำ ซึ่งแปลว่า TOA นั้นสามารถบริหารจัดการลูกหนี้ เจ้าหนี้ และสินค้าคงเหลือได้ดีมาก และน่าจะมีเงินที่นำไปใช้กับ working capital ค่อนข้างน้อย
3. รายละเอียดของการระดมทุน
หากเรามาดูโครงสร้างของผู้ถือหุ้นในปัจจุบันพบว่า หุ้นของ TOA นั้น ถือโดยครอบครัวตั้งคารวคุณทั้งหมด โดยเป็นการถือผ่านบริษัท TOAGH และ Wybrant ในสัดส่วน 34.3% และ 14.3% ตามลำดับ ซึ่งทั้งสองบริษัทเป็นสมาชิกในครอบครัวตั้งคารวคุณถือหุ้นอยู่ โดยในส่วนที่เหลือเป็นการถือหุ้นโดยตรงของบุคคลในครอบครัว
ในการระดมทุนครั้งนี้จะเสนอขายหุ้นจำนวนไม่เกิน 507,600,000 หุ้น โดยมี 2 ส่วนคือ
- ส่วนที่เป็นหุ้นเพิ่มทุนของ TOA เอง จำนวนไม่เกิน 254,000,000 หุ้น
- หุ้นเดิมที่ Wybrant เป็นเจ้าของอยู่ จำนวนไม่เกิน 253,600,000 หุ้น
เงินทุนที่มีการระดมทุนนั้น ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้สำหรับขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาประสิทธิภาพภายในของบริษัท และอีกส่วนหนึ่งจะนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการครับ
Note: TOAGH และ Wybrant ถือหุ้นโดยครอบครัวตั้งคารวคุณทั้งหมด
4. ความเสี่ยงที่ควรทราบ
แน่นอนว่าการลงทุนนั้นย่อมมีความเสี่ยงเสมอ ถึงแม้จะเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกันนะครับ โดยหลักๆ แล้วความเสี่ยงที่เป็นประเด็นมีดังนี้ครับ
- ความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ: ภาวะเศรษฐกิจนั้นเป็นปัจจัยสำคัญเลยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ยิ่งถ้ามีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจแล้ว ก็จะมีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง ที่อาจจะชะลอตามหรือลดการใช้จ่ายได้
- ความเสี่ยงในการแข่งขัน: บริษัทฯ ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงกับคู่แข่งที่ทำธุรกิจสีทาอาคารที่มีชื่อเสียง รวมถึงธุรกิจผู้ผลิตสีในประเทศต่างๆ ที่บริษัทฯ เข้าไปทำธุรกิจ ซึ่งอาจจะทำให้สูญเสียส่วนแบ่งการตลาด
- ความเสี่ยงในด้านคู่ค้า: วัตถุดิบคือหัวใจในการผลิตสินค้า หากวัตถุดิบไม่เพียงพอหรือการผลิตหยุดชะงักก็จะส่งผลในทางลบต่อธุรกิจได้
- ความเสี่ยงในการดำเนินงาน: การดำเนินธุรกิจอาจจะมีความผันผวนตามฤดูกาล ซึ่งถ้าบริษัทฯ ไม่สามารถบริหารความผันผวนต่างๆ ได้ ก็ย่อมเกิดผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นข้อมูล IPO ที่วิเคราะห์มาในเบื้องต้นของบริษัท TOA นะครับ หากเพื่อนๆ สนใจลงทุนกับบริษัทแห่งนี้ อย่าลืมศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียดจาก http://investor.toagroup.com/ipo/ ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนนะครับ
บทความนี้เป็น Advertorial