บัญชีหุ้นมีอยู่ 3 แบบ คือ
1. บัญชีเติมเงิน (Cash Balance) คือ มีเงินเท่าไรซื้อหุ้นได้เท่านั้น นักลงทุนต้องฝากเงินเข้าไปในบัญชี ถ้าหากวงเงินไม่พอกับมูลค่าหลักทรัพย์ที่ต้องการก็โอนเงินเข้าบัญชีเพิ่มได้ โดยเงินสดที่ฝากไว้จะได้รับดอกเบี้ยบัญชีเงินสดด้วย
2. บัญชีเงินสด (Cash Account) คือ ลงทุนก่อนจ่ายทีหลัง บัญชีแบบนี้ทางโบรกเกอร์จะอนุมัติวงเงินให้เรายืมไปเทรดได้ก่อน โดยที่เราต้องวางเงินประกัน 20% แล้วนักลงทุนต้องโอนเงินซื้อภายใน 3 วันหลังจากคำสั่งซื้อได้รับการยืนยันภายใน 2 วันทำการ ส่วนโบรกเกอร์ก็จะดูวงเงินในการลงทุนที่เหมาะสมกับนักลงทุนแต่ละรายตามฐานะทางการเงิน, หลักประกัน และความสามารถในการชำระหนี้
3. บัญชีกู้ยืม (Credit Balance) คือ มีเงินส่วนหนึ่งกู้เพิ่มส่วนหนึ่ง บัญชีที่โบรกเกอร์เปิดให้สินเชื่อนักลงทุน ที่ต้องการมีเงินซื้อหุ้นมากกว่าเงินที่ตัวเองมีก็ใช้วิธีกู้เงินโบรกเกอร์ไปซื้อ แต่ก็ต้องมีหลักประกัน เช่น เงินสดหรือหลักทรัพย์ และแน่นอนว่าไม่มีใครให้เรายืมเงินฟรี ๆ หรอก เพราะนักลงทุนต้องจ่ายดอกเบี้ยให้โบรกเกอร์ด้วย

สำหรับมือใหม่ที่หัดเทรดอยากลองเล่นขอแนะนำเลยว่าเปิดบัญชีเติมเงินไปก่อน เพราะจะช่วยให้ควบคุมวงเงินที่เราจะใช้ได้ สะดวก และไม่ต้องเสียดอกเบี้ยด้วยครับ บัญชีแต่ละแบบก็มี จุดเด่น-จุดด้อย ต่างกันไป เมื่อเราเข้าใจความต่างของบัญชีหุ้นแต่แบบแล้ว ลองเลือกบัญชีตามความเหมาะสม และที่สำคัญคือนักลงทุนต้องมีความรู้ความเข้าใจในบัญชีที่เลือกให้พร้อมก่อนครับ
เรียบเรียงในแบบ aomMONEY
ที่มา :
ติดตามความรู้เรื่องการเงินการลงทุนจาก aomMONEY
Website : www.aomMONEY.com
Youtube : https://www.youtube.com/AommoneyTH
กลุ่มกองทุนไหนดี : https://www.facebook.com/groups/SelectedFund/
ทีมกองบรรณาธิการ aomMONEํY