ก่อนอื่น ปิ่นจะมาเล่าให้ฟังว่า มี 3 อย่าง ที่จะอยู่กับเราไปในอีก 1-3 ปีนับจากนี้ค่ะ
อย่างที่ 1 คือ เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงขาลง
ตัวเลขที่จับชีพจรเศรษฐกิจโลกได้เริ่มแผ่วลง ทั้งการค้า การลงทุน และ การผลิตโดยรวมของโลก ที่น่าสนใจ คือ ดัชนี PMI (Purchasing Managers’ Index) ซึ่งวัดจากการสอบถามผู้จัดการผู้ประกอบการทั่วโลก ว่า จะผลิตเพิ่มขึ้นมั้ย มีออร์เดอร์สั่งซื้อใหม่ๆเข้ามารึเปล่า ก็ปรากฏว่าทั้งยอดผลิตยอดสั่งซื้อใหม่ร่วงระนาวกันถ้วนหน้า
และยังเพิ่มเติมด้วยปัญหาสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน ที่เดาได้ยากว่าจะจบแบบไหน และสถานการณ์การเมืองในหลายๆประเทศทั่วโลก
ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกแบบนี้ เศรษฐกิจไทยก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย
อย่างตัวเลขจีดีพี (GDP) หรือรายได้ของทั้งประเทศในไตรมาส 2 นี้ โตแค่ 2.3% ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี หลักๆคือเพราะส่งออกติดลบมาตลอด ซึ่งประเทศอื่นๆหลายๆประเทศก็ประสบปัญหานี้เหมือนกัน
อย่างที่ 2 คือ อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกก็กำลังเข้าสู่ขาลงเช่นกัน
ในช่วงเศรษฐกิจโลกขาลงแบบนี้ แบงค์ชาติของประเทศต่างๆ ทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ธนาคารกลางต่างๆในเอเชีย รวมถึงไทย ก็ได้พาเหรดกันลดดอกเบี้ย และธนาคารกลางยุโรปก็ได้ส่งสัญญาณว่าพร้อมจะลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นให้คนนำเงินที่ฝากไว้มาใช้จ่ายมากขึ้น และกู้ได้โดยเสียดอกเบี้ยถูกลง จะได้ไปซื้อของหรือลงทุนมากขึ้น เงินจะได้หมุนในเศรษฐกิจมากขึ้น
อย่างที่ 3 คือ ตลาดหุ้น ตลาดเงินทั่วโลก จะผันผวนมากไปอีกพักใหญ่
แต่ตลาดหุ้น ตลาดเงินมันก็ผันผวนตามข่าวอยู่แล้วนี่
จุดที่น่าสนใจมันอยู่ตรงนี้ค่ะ
ในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เกิดปรากฏการณ์ Inverted Yield Curve หรือเส้นผลตอบแทนกลับหัว หมายถึง
พันธบัตรอายุ 10 ปี มีผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยแทบจะน้อยกว่าพันธบัตรอายุ 2 ปี
ซึ่งในเวลาปกติมันไม่ควรเป็นอย่างนั้น
อย่าลืมว่า พันธบัตรคือการที่รัฐบาลขอกู้กับประชาชน ซึ่งถ้ากู้ระยะสั้น ความเสี่ยงน่าจะต่ำกว่าระยะยาว จึงน่าจะชาร์ตดอกเบี้ยถูกกว่า แต่ระยะยาว อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้ ความเสี่ยงมากกว่า ดอกเบี้ยที่ชาร์ตก็น่าจะแพงกว่าเช่นกัน
เพราะฉะนั้น การที่พันธบัตรอายุ 10 ปี มีผลตอบแทนอัตราดอกเบี้ยแทบจะน้อยกว่าพันธบัตรอายุ 2 ปี แปลว่า นักลงทุนมองว่าความเสี่ยงระยะสั้นช่วงนี้ มีมากกว่าความเสี่ยงระยะยาว สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน
และที่น่าสนใจที่สุดคือ ปรากฏการณ์นี้มันเคยเกิดขึ้นก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ 6-18 เดือน มันเคยเกิดขึ้นก่อนวิกฤตดอทคอม มันเคยเกิดขึ้นก่อนวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อ 10 กว่าปีก่อน
คำถามคือ วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อย่างไร ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ฟังดูน่าปวดหัวนะคะ แล้วเราจะทำยังไงดี?
อย่าลืมว่า ทุกวิกฤต มีโอกาส ทุกๆรอบที่เศรษฐกิจเข้าสู่ขาลง มีคนทำกำไรได้เสมอ และทำกำไรได้ใน 2 แบบค่ะ
แบบที่ 1 คือ เข้าซื้อสินทรัพย์ที่เป็น “หลุมหลบภัย (Safe Haven)” ในช่วงเศรษฐกิจโลกขาลงและมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนมักจะเอาเงินไปพักไว้ที่สินทรัพย์ เช่น ทอง เพราะอย่างน้อย ทั่วโลกก็ยอมรับว่ามันมีค่าในตัวเอง และแม้ราคาทองจะขึ้นลงในระยะสั้น แต่ในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อเกิน 10 ปีขึ้นไป ราคาทองก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
แบบที่ 2 คือเก็บเงินสดไว้มากพอ ที่จะช้อนซื้อสินทรัพย์คุณภาพดีในราคาถูก เพราะในช่วงเศรษฐกิจขาลง ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือสินทรัพย์อื่นๆมักจะถูกลง ซึ่งบางส่วนก็เป็นสินทรัพย์คุณภาพดี เช่น หุ้นพื้นฐานดี อสังหาริมทรัพย์ทำเลดี นี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะเก็บเงิน รอจังหวะซื้อสินทรัพย์พวกนี้ เพื่อให้มันผลิดอกออกผลในวันข้างหน้า (หลายคนเจอหุ้นหรือสินทรัพย์เปลี่ยนชีวิตก็ในช่วงเวลาแบบนี้ค่ะ)
สุดท้ายนี้ ปิ่นก็ขอเป็นกำลังใจ ให้ทุกๆท่านฝ่าช่วงเศรษฐกิจขาลงได้ และคว้าโอกาสไว้ในทุกสถานการณ์ค่ะ