ความรักทำร้ายการเงินได้จริงหรือไม่?
ความรักเป็นความรู้สึกที่ใช้เหตุผลอธิบายไม่ได้ ในมุมของมนุษย์โลกสวยมักจะมโนว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม ประมาณว่าความรักชนะทุกสิ่ง เอออ หนูจ๊ะในโลกของความจริงมันไม่ได้สีชมพูอบอวลหรือหอมฟุ้งไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์หรอกนะจ๊ะ มันออกจะเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนองและเต็มไปด้วยหนาวแหลมคมเต็มไปหมด
ไม่ได้เขียนเพราะอารมณ์อกหัก แล้วมาประกาศว่าความรักนั้นเลวร้าย แต่เรากำลังจะเขียนมุมมอง ของความรักอีกรูปแบบหนึ่งที่กำลังทำร้ายวินัยการเงินของตนเองและลากคนรอบข้างให้จมไปในหลุมดำ ของหนี้สินไปพร้อมๆกัน #เผื่อแผ่หนี้สิน
บางกระทู้เราอ่านเพื่อความบันเทิง อ่านเพื่อเป็นกำลังใจ ในขณะที่บางกระทู้อ่านแล้วสะท้อนตัวเอง ว่าทำไมชีวิตคนตั้งกระทู้นี้มันเหมือนเราจังเลย(วะ) เราก็เลยมีไอเดียขึ้นว่า ไหนๆก็นั่งหลังขดหลังแข็งอ่านกระทู้ อยากรู้อยากเห็นชีวิตคนอื่น ก็น่าจะหากระทู้ที่จะมาวิเคราะห์วิธีใช้เงินเป็นประโยชน์กับแฟนเพจบ้างซิ แล้วเราก็หาเจอแล้ว
ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่แบ่งบันเรื่องราวครั้งนี้นะคะ นับว่ามีประโยชน์ในการสอนมุมมองใหม่ๆของความรักที่ทำร้ายการเงินได้ชัดเจนมากเลยทีเดียว
เรามองว่าการศึกษาเรื่องนี้ก็คล้ายๆกับการที่เราอ่านเรื่องของคนที่ประสบความสำเร็จ เราอ่านเพื่อที่จะได้รู้ว่าเขาทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกันค่ะ เราอ่านกระทู้(ที่กำลังจะเขียนต่อจากนี้) เพื่อให้รู้ว่ามีหนทางอะไรบ้างที่ทำให้เราล้มเหลว เราจะได้ระมัดระวัง ไม่เดินซ้ำรอยเดิมที่คนอื่นเคยทำพลาดไว้
อ่านเรื่องที่ประสบความสำเร็จ เพื่อรู้วิธีที่เขาทำแล้วสำเร็จ
อ่านเรื่องที่ล้มเหลว เพื่อรู้วิธีที่เคยผิดพลาดแล้วหาวิธีป้องกันตนเอง
เรื่องราวของแต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันออกไป แต่หัวใจสำคัญส่วนใหญ่นั้นเกิดมาจากเรื่องของ “ความรัก” อ่านเรื่องราวในกระทู้นี้กันก่อนดีกว่า แล้วค่อยมานั่งวิเคราะห์กันทีละเรื่องว่า “รักมาก...หนี้สินมาก” นั้นเป็นอย่างไร
ที่มา : http://pantip.com/topic/34331439
สรุปสั้นๆว่า...
4 เรื่องความรักทำลายการเงิน
1. เพราะความรักจึงปิดบังความจริง
เชื่อว่าพ่อแม่หลายท่านต้องการให้ลูกอยู่สบายที่สุด ไม่อยากให้ลูกๆรับรู้ว่าตนเองกำลังลำบาก ไม่อยากให้ ลูกมานั่งกังวลเรื่องเงิน ไม่ต้องหาเงินเพราะต้องการให้ตั้งใจเรียนเป็นเจ้าคนนายคน จึงเลือกที่จะปิดบังความจริงถึงแหล่งที่มาของเงิน คิดว่าเรื่องหนี้สินตนเองแก้ปัญหาได้แล้วมองว่าต่อไปมันคงดีขึ้น แต่สุดท้ายยิ่งแก้ ยิ่งเจ็บ ยิ่งดิ้นไม่หลุด นับวันหนี้สินยิ่งเติบโตขึ้นกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ยาก
เรามองว่าเรื่องของหนี้สินควรนั่งคุยกันตรงๆ แล้วช่วยกันแก้ปัญหา ช่วยให้กำลังใจกันเพื่อจะได้ผ่านวิกฤตไปได้ จำได้ว่าผลกระทบจากวิกฤต้มยำกุ้งปี 40 ครอบครัวเราก็ถูกผลกระทบไปด้วย แม่ของเราก็ใช้วิธีบอกความจริงเกี่ยวกับหนี้สินให้ทุกคนในครอบครัวได้รับรู้เพื่อจะได้ช่วยกันประหยัดและใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น
2.เพราะความรักสบาย ทำให้เกิดหนี้กองโต
ชีวิตขาขึ้น ⇒ เงินทองมากมาย ⇒ ใช้จ่ายอู่ฟู่
ชีวิตขาลง ⇒ เงินทองขาดมือ ⇒ ปรับตัวไม่ได้ ⇒ เกิดปัญหาหนี้สิน
การใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย อยากได้อะไรก็ซื้อ บางครั้งก็เพาะนิสัยจมไม่ลงไว้ใน DNA ได้โดยไม่รู้ตัว ชีวิตคนเรามีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง เมื่อจังหวะชีวิตเป็นขาขึ้น รายได้เข้ามาไม่ขาดสาย มีเงินใช้จ่ายคล่องมือ ก็ใช้ชีวิตอู่ฟู่อยู่สบาย #ชีวิตดี๊ดี
เมื่อมีความสุขก็สุขแต่พอดี อย่าลืมเผื่อใจไว้ให้ความทุกข์ด้วย
แต่พอจังหวะชีวิตเป็นช่วงขาลง เงินทองเริ่มหมด หากปรับตัวได้ใช้เงินเท่าที่มี ประหยัด รู้ว่าอะไรควรจ่ายและอะไรไม่ควรจ่าย เราก็จะผ่านพ้นวิกฤตขาลงไปได้ แต่ถ้าเกิดปรับตัวไม่ได้ ไม่ยอมรับความจริง สุดท้ายไม่พ้นปัญหาการกู้ยืมมาใช้จ่ายเป็นหนี้สินพะรุงพะรัง
3. เพราะความรักจึงช่วยเหลือกันมากเกินไป
คุณย่าที่เป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลาน ใครเดือดร้อนมาก็ช่วยเหลือ จากตัวอย่างข้างบน คุณย่าช่วยเหลือมากเกินไปจนตัวเองกำลังจะเดือดร้อน เรามองว่าหากช่วยเหลือไปครั้งหนึ่งแล้วยังลุกขึ้นเดินด้วยขาของตนเองไม่ได้ แสดงว่าผู้รับความช่วยเหลือไม่กระตือรือร้นและคิดว่าเดือดร้อนก็ต้องมีคุณย่าคอยช่วยทุกครั้ง
บางครั้งโรคเสพติดหนี้สินไม่สามารถทำให้หายขาดได้ด้วยเงิน อาจจะต้องการตัวยาอื่นที่ร้อนแรง เจ็บปวด แต่หายขาดมาใช้ในการรักษาเพื่อให้เกิดการจดจำ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่ยืนและวิ่งได้บนขาของตนเอง
ตัวอย่างใกล้ตัวจากเพื่อนของเราที่เมื่อก่อนรักการใช้บัตรเครดิตเป็นชีวิตจิตใจ เราเตือนเท่าไหร่ก็นิ่ง ไม่รับฟัง รวมทั้งบอกผลร้ายว่าจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่กลัวเพราะคิดว่าตนเองแก้ปัญหาเองได้ สุดท้ายก็เป็นไปตามคาด เป็นหนี้บัตรเครดิตจนไม่มีเงินมาชำระหนี้
มันไม่อยากปรึกษาเรื่องหนี้บัตรเครดิตกับแม่เพราะกลัวถูกด่าก็เลยมาปรึกษาเราแทน เรามองว่าเสียเครดิตกับแม่แล้วถูกด่ายังดีกว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตที่แก้ปัญหาไม่ได้ เราแนะนำให้เพื่อนไปยืมเงินแม่มาปิดหนี้บัตรให้หมดแล้ว เลิกใช้บัตรเครดิตไปก่อน ถ้ามีวินัยการเงินมากกว่านี้ค่อยไปสมัครบัตรใหม่ก็ได้ ตอนนี้มันก็ใช้แต่เงินสด ยังไม่ได้ทำบัตรเครดิตใหม่ มันบอกว่ากลัวใจตัวเองที่จะใช้จ่ายสิ้นเปลืองอีก (วิธีการแก้ปัญญานี้ใช้ได้กับบางคนเท่านั้น ไม่ใช่สูตรสำเร็จการชำระหนี้นะจ๊ะ)
4. เพราะความรักทำให้เสียวินัยการเงิน
จากในกระทู้คุณแม่ได้กู้เงินมาเพื่อให้ลูกใช้จ่ายอย่างสบาย จนทำให้ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน เพราะลูกรู้ว่ายังไงๆ แม่ก็