"EEC และโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐจะช่วยคืนชีพเศรษฐกิจไทยอีกครั้งหนึ่ง"

EEC หรือ โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก คือโครงการที่จะเป็นจุดเปลี่ยนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนในพื้นที่ภาคตะวันออก อย่างจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ซึ่งจะกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวมีความคึกคักมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่กำลังพัฒนาอีกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า ทางด่วน รถไฟ หรือการขยายสนามบิน ก็จะช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจดูดีขึ้นด้วยเช่นกัน

โดยการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน และการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานเหล่านี้จะเป็นผลโดยตรงต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติในการเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในไทย และสาธารณูปโภคที่ดีขึ้นจะทำให้การขนส่งมีประสิทธิภาพ เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้า แรงงาน และการลงทุน

แล้วมีหุ้นกลุ่มไหนที่ได้รับประโยชน์จากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจครั้งนี้บ้าง?

สินค้าอุตสาหกรรมถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม เพราะหากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ มีการเดินเครื่องจักรในการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น ก็ย่อมต้องสั่งซื้อวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในการผลิตเป็นสินค้าต่างๆ มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย ทำให้ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าอย่างผลิตภัณฑ์กาวและยาแนวและผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ ซึ่งจะถูกนำใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ มีโอกาสเติบโตได้ดี

“วันนี้ ลงทุนศาสตร์จึงหยิบยก "บมจ. แอ็พพลาย ดีบี" หรือ "ADB" ที่เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์กาวและยาแนว และผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ ซึ่งใช้มากในโรงงานอุตสาหกรรมมาเล่าให้ฟังกัน”

ธุรกิจของ ADB แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ

1. ผลิตภัณฑ์กาวและยาแนว

2. ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์

สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์กาวและผลิตภัณฑ์ยาแนว (Adhesive and Sealant) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์กาวเพื่อใช้ยึดติดวัสดุ เช่น กาวยาง กาวขาว กาวพลังช้าง กาวแทนตะปู เป็นต้น และผลิตภัณฑ์ยาแนว ซึ่งแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์อะคริลิกยาแนวสำหรับอุดรอยต่อที่มีความยืดหยุ่นน้อยและคงทนต่อสภาพแวดล้อมได้ต่ำ และผลิตภัณฑ์ซิลิโคนยาแนว สำหรับอุดรอยต่อที่มีความยืดหยุ่น คงทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมสูง โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ เช่น     แบรนด์ ADB DB SPARKO DAI-I-CHI และ OMAKU และการรับจ้างผลิต (OEM) ให้แก่แบรนด์ชั้นนำ

สินค้ากลุ่มกาวและยาแนวของบริษัทฯ

กลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ (Plastic compound) ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกพีวีซี (PVC compound) ทั้งแบบนิ่มที่ใช้ในอุตสาหกรรมสายไฟและสายเคเบิ้ล และแบบแข็งซึ่งที่ใช้ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ บรรจุภัณฑ์ และข้อต่อท่อพีวีซี รวมไปถึงเส้นใยสังเคราะห์โพลีโพรพิลีน (Polypropylene split yarn) ที่ใช้ในกระบวนการผลิตสายไฟและสายเคเบิ้ล และเม็ดเทอร์โมพลาสติกอิลาสโตเมอร์ (Thermoplastic Elastomer : TPE) ซึ่งสามารถนำไปขึ้นรูปเพื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น พื้นรองเท้า

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกพีวีซีเพื่ออุตสาหกรรมทางการแพทย์ที่นำไปใช้ผลิตภัณฑ์อุปกรณ์หรือเครื่องมือทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกฮาโลเจนฟรีที่นำมาใช้ผลิตสายไฟที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีส่วนประกอบของธาตุฮาโลเจนที่เป็นสารพิษต่อร่างกายเมื่อเกิดการลุกไหม้

สินค้ากลุ่มพลาสติกคอมปาวด์ของบริษัทฯ

บริษัทฯ มีลูกค้าอยู่ในภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก โดยลักษณะการใช้งานขึ้นกับประเภทผลิตภัณฑ์ เช่น ใช้ประกอบชิ้นส่วนสินค้า ใช้ในงานประปา ประกอบเฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง ยานยนต์ เป็นต้น โดยแบ่งสัดส่วนเป็นลูกค้าในประเทศประมาณ 70% และต่างประเทศอีกประมาณ 30%

สำหรับสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ มาจากผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 กลุ่มในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์มีการเติบโตต่อเนื่องตามอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์กาวและยาแนว ถึงแม้ในปี 2559 ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2/60 ก็กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

บริษัทฯ อยู่ระหว่างนำกิจการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยมีจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 180,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้

โครงสร้างการถือหุ้นก่อน-หลังจดทะเบียน
โดยการจัดกลุ่มนี้ มิใช่การจัดกลุ่มตามมาตรา 258 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535

จุดเด่นของบริษัทฯ คือกิจการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาวและยาแนว และผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ ซึ่งอยู่กลางโซ่อุปทาน มีทั้งผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่าย และเติบโตล้อไปกับภาวะอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจ ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ และนโยบายภาครัฐเร่งผลักดัน EEC และอุตสาหกรรม 4.0 จึงเป็นโอกาสดี ที่บริษัทฯ จะได้ประโยชน์ ของการผลิตที่ดีและมีโอกาสที่รายได้จะเพิ่มสูงมากขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่มีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทฯ มานานกว่า 12 ปี จึงมีความเชี่ยวชาญและพร้อมทำงานใกล้ชิดกับลูกค้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติตามความต้องการเฉพาะราย ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ ADB

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้มานานกว่า 30 ปี และยังมีการพัฒนาต่อยอดสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงหรือเป็นนวัตกรรม เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ให้กว้างขวางมากขึ้น

ในขณะที่ความเสี่ยงสำคัญของบริษัทฯ คือวัตถุดิบการผลิตที่มาจากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ ทำให้โครงสร้างต้นทุนอิงกับราคาน้ำมันค่อนข้างมาก หากราคาน้ำมันเคลื่อนไหวรุนแรงก็จะส่งผลต่อกำไรของบริษัทฯ ได้ ซึ่งแน่นอนว่าผลกระทบดังกล่าวเกิดขึ้นได้ทั้งสองทาง ไม่ว่าจะในแง่กำไรมากขึ้นหรือน้อยลง

ผลิตภัณฑ์ยาแนวของบริษัทฯ

สุดท้ายนี้ นักลงทุนต้องใช้ความเข้าใจในการลงทุนเสมอ ธุรกิจของ "ADB" อ้างอิงและล้อไปกับภาคอุตสาหกรรมการผลิต

"หากนักลงทุนเข้าใจในภาคการผลิตและจุดเด่นของสินค้าของบริษัทฯ ก็อาจจะเป็นส่วนประกอบให้พิจารณาถึงความน่าสนใจลงทุนได้"

"บมจ.แอ็พพลาย ดีบี" จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการลงทุนของผู้ลงทุนที่สนใจหุ้นในกลุ่มที่เติบโตไปกับภาคอุตสาหกรรมการผลิต โดยบทความฉบับนี้ไม่มีเจตนาแนะนำซื้อ ถือ หรือขาย เพียงแต่ช่วยทำการสรุปหนังสือชี้ชวนตราสารทุนมาเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและสะดวกต่อการนำไปใช้งานต่อได้

อ่านหนังสือชี้ชวนตราสารทุนฉบับเต็มได้ที่ :
http://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=129588

ลงทุนศาสตร์ - Investerest

บทความนี้เป็น Advertorial