สวัสดีครับบบบ กลับมาพบกับพรี่หนอม TAXBugnoms เจ้าเก่าเจ้าเดิม และประเด็นที่น่าสนใจจากรายการ “กองทุนไหนดี ? Weekly” ที่จะทำให้คุณรู้ว่า กองทุนไหนดี กองทุนไหนเด่น เพื่อให้ทุกคนสามารถเลือกเฟ้นกองทุนได้เหมาะสมกับตัวคุณที่สุดครับ

สำหรับ กองทุนไหนดี ? ตอนที่ 10 นี้ กลับมารีวิวกันอีกครั้งกับกองทุนยอดฮิตติดชาร์ตอย่าง บัวหลวงทศพล หรือที่เราคุ้นกันในชื่อ BTP นั่นเองครับ

กองทุนบัวหลวงทศพล ของบลจ. บัวหลวงนั้น เรียกได้ว่าเป็นกองทุนที่ค่อนข้างจะลงทุนแบบเน้น ๆ เนื่องจากเลือกลงทุนในหุ้นเพียงแค่ 10 ตัวเท่านั้น ตามนโยบายและตีมการลงทุนของทางบลจ. ซึ่งถ้าหากดูผลตอบแทนย้อนหลัง จะเห็นว่าเป็นดังนี้ครับ

จะเห็นว่าในช่วง 5 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา กองทุนนี้ทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างดีทีเดียวเลยล่ะครับ ถ้าหากใครซื้อไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ หรือทยอยซื้อเฉลี่ยแบบ DCA ผลตอบแทนที่ได้ก็น่าจะเป็นทีพอใจเลยล่ะครับ

เมื่อเทียบกับเปอรเซนต์ไทล์จะเห็นว่าผลตอบแทนนั้นอยู่ในกลุ่ม 5 อันดับแรกมาโดยตลอดซึ่งมั่นใจได้เลยครับว่าในเรื่องของผลตอบแทนนั้น กองนี้เขามากันแบบแน่นอนจริง ๆ

ส่วนของความเสี่ยงความผันผวน จะเห็นว่าในระยะทำได้ดีขึ้นครับ โดยใน 1 ปีที่ผ่านมาถือว่าความผันผวนน้อยลงครับ ซึ่งเป็นที่น่าพึงพอใจอีกแล้วครับผม

ส่วนเรื่องของการถือหุ้น อย่างที่ทราบกันดีว่ากองนี้จะมีการถือหุ้นเพียงแค่ 10 ตัวเท่านั้น อัตราการเปลี่ยนแปลงหุ้นถือว่าค่อนข้างเยอะครับ จะเห็นว่าอยู่ที่ 257.75% ซึ่งถือว่ามีการเปลี่ยนค่อนข้างเยอะเหมือนกัน (ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 100-300) สังเกตได้ว่าหุ้นที่ลงทุนก็จะเป็นหุ้นใหญ่เป็นหลักนะครับ

โดยปกติบลจ.บัวหลวงจะมีการลงทุนเป็นตีม (theme) ในแต่ละปีอยู่แล้วครับ แล้วแต่ว่าปีไหนจะมองว่าธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอะไรดี ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของทีมบริหารจัดการในการพิจารณามุมมองในการลงทุนแต่ละปีครับ

ตัวค่าธรรมเนียมก็อยู่ในอัตราที่ไม่สูงเกินไปครับ 1.71% ซึ่งถือว่าไม่ได้แพงมากเท่าไร แต่สิ่งที่ต้องดูคือ ค่าธรรมเนียมในการขาย (รับซื้อคืน) อยู่ที่ 1% ซึ่งตรงนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องพิจารณาครับ แต่ข้อดีก็คือ กองทุนนี้สามารถซื้อได้ในจำนวนเงินที่ต่ำมากกก เพียง 500 บาทเท่านั้นเองครับ

ลงทุนหุ้น VS กองทุน เลือกลงทุนแบบไหนดี?

สรุปประเด็นคำถามโลกแตกประจำสัปดาห์ ที่เราหยิบมาพูดคุยกันอย่าง หุ้น VS กองทุนนั้น ลงทุนอันไหนดี สิ่งทีต้องดูนั้นมีจากปัจจัยต่อไปนี้ครับ

  1. เวลา : ถ้ามีเวลาดูแลจัดการบริหารการลงทุนเอง การเลือกลงทุนในหุ้นนั้นจะดีกว่า เพราะเราจะได้มีเวลาซื้อขาย หรือดูแลจัดการได้ตลอดเวลาที่เราต้องการครับ แต่ถ้าหากไม่มีเวลา การซื้อกองทุนรวมแล้วให้ผู้จัดกการกองทุนดูแลอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
  2. เงิน : การซื้อหุ้นโดยปกติต้องซื้อ 100 หุ้น ดังนั้นถ้าหากเงินน้อย หรือเงินไม่พอ บางครั้งอาจจะซื้อหุ้นที่มีมูลค่าสูงไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นกองทุนแล้ว สามารถซื้อได้ด้วยเงินข้ันต่่ำเพียงไม่กี่ร้อยบาท (หรืออาจจะต่ำกว่านั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินขั้นต่ำที่แต่ละกองทุนกำหนดไว้)
  3. ความเสี่ยง : สิ่งที่ตามมาจากผลของเงิน หากมีจำนวนจำกัด การลงทุนหุ้น 1 ตัว กับ กองทุน 1 กองนั้น ย่อมมีความเสี่ยงมากกว่าในการลงทุน ดังนั้นกองทุนจะมีการกระจายความเสี่ยงมากกว่าครับ
  4. ประเภท : หุ้นคือหุ้น แต่กองทุนนั้นสามารถเลือกลงทุนได้ในสินทรัพย์หลายประเภทตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง ตลาดเงิน ตราสารหนี้ ทองคำ น้ำมัน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกองทุนจะมีข้อดีกว่าตรงที่สามารถจัดพอร์ทการลงทุนได้มากกว่าหุ้นครับ
  5. ตัวเรา : ประเด็นสุดท้ายคือเรืองของตัวเราด้วยครับ เรื่องของความเหมาะสมในการเรียนรู้ ความเข้าใจในการลงทุน เป้าหมาย ระยะเวลา และที่สำคัญคือการบริหารจัดการเงินสดให้ดีเพื่อที่จะได้จัดการลงทุนได้อย่างมีประโยชน์ที่สุดครับ  

หวังว่าคงจะได้รับคำตอบกันถ้วนหน้านะครับ เอาล่ะครับและทั้งหมดนี้คือที่อยากฝากไว้ในตอนนี้ครับผม อย่าลืมรอติดตามชมกันกับ “รายการกองทุนไหนดี ?” ในวันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2560 เวลาหนึ่งทุ่มตรงเหมือนเช่นเคยคร้าบบบบ

สุดท้ายเหมือนอย่างเช่นเคยครับ ฝากกันไว้สักนิด อย่าลืมกดติดตามพวกเราได้ที่เพจ aomMONEY หรือกดเข้าร่วมกรุ๊ป กองทุนไหนดี ? ห้องแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องกองทุนรวมจาก aomMONEY เพื่อไม่ให้พลาดทุกบทความและความรู้จากพวกเราคร้าบบบ

คลิปย้อนหลังดูได้ที่ : 

https://www.youtube.com/watch?v=WBXA--AOzLM&t=34s