สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน การลงทุนในช่วงนี้ต้องถือว่ายากมากกกกกก (ก ไก่ 10 ล้านตัว) เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สงครามการค้าที่มีผลต่อการส่งออกของเราไปยังคู่ค้า สงครามค่าเงินที่ทำให้การส่งออกปั่นป่วน และประเทศไทยเองก็ยังได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าอีกทางด้วยครับ

อีกข่าวร้อนที่เพิ่งจะประกาศไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่แล้วก็คือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย มีมติให้เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จาก 1.50% ต่อปี เหลือ 1.25% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในรอบหลายปี โดยต่ำกว่าช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 แต่จะเท่ากับในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ช่วงปี 2550 ครับ

ทั้งนี้ก็เพราะว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากที่เคยประเมินว่า GDP จะโตประมาณ 3.3% ก็กลายเป็นโตแค่ 2.8% และมีโอกาสที่จะลดต่ำลงได้อีกครับ การท่องเที่ยวที่ก่อนหน้านี้ได้รับความนิยมก็ชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นกว่าแต่ก่อนครับ หนี้ครัวเรือนก็เริ่มสูง ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง ทั้งนี้ก็เพราะว่ารายได้ของประชาชนเองก็โตไม่ทันรายจ่ายที่สูงขึ้นนั่นเอง

ใครอ่านมาถึงตรงนี้ คงพอจะเห็นภาพนะครับว่า ถ้าหากเศรษฐกิจไทยยังคงเป็นแบบนี้อีกสักระยะ อาจจะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้งหลายก็จะปรับตัวลดลง แน่นอนว่าคงส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาดด้วย

พอเรามองไปที่สินทรัพย์ต่าง ๆ เพื่อที่จะเริ่มต้นลงทุน ซึ่งถ้ามองเรื่องของความเสี่ยง และ ความผันผวนของสินทรัพย์เองก็เริ่มมากขึ้นด้วยครับ โดยในช่วงที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้ ราคาทองคำก็ปรับตัวสูงขึ้นแต่ก็เริ่มปรับตัวลดลงมาบ้าง 

ขนาดตลาดการลงทุนของตราสารหนี้เองก็ยังผันผวนไม่แพ้กันครับ นักลงทุนสถาบันก็มีการเก็งกำไรบนตราสารหนี้ระยะยาวมากขึ้น ทำให้ราคาตราสารหนี้เองก็ปรับตัวสูงขึ้นมาเช่นกัน เอาเป็นว่าช่วงนี้ราคาสินทรัพย์ทุกประเภทมีความผันผวนมากขึ้นจริง ๆ ครับ เดาทางกันไม่ถูกเลย

แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผม หมอนัท คลินิกกองทุนมีทางแก้ไขมาให้ครับ ซึ่งเป็นวิธีที่ดี และเป็นวิธีที่นักลงทุนไม่ต้องคอยดูว่าจะต้องลงทุนกับสินทรัพย์อะไร จับจังหวะลงทุนอย่างไร ต้องเปลี่ยนสินทรัพย์ลงทุนตามสถานการณ์การลงทุนหรือไม่ นั่นก็คือการลงทุนแบบ การกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ หรือที่เราเรียกว่าการจัดพอร์ตการลงทุนนั่นเองครับ

ซึ่งหลักการกระจายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ แบบนี้ ก็ยังคงเป็นแนวทางที่สามารถลงทุนได้อยู่เสมอๆ ครับ ไม่มีวันล้าสมัยหรือตกเทรนด์ใดๆ ครับ

ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ถ้าหากเราลงทุนในสินทรัพย์เดียวกันบ่อยๆ เช่น ซื้อแต่กองทุนหุ้นอย่างเดียว ก็จะทำให้การกระจายความเสี่ยงของเราไม่ดีพอครับ

พอตลาดหุ้นลงที กองทุนที่เราลงทุนไปก็จะลงพร้อมๆ กันครับ ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตก็จะแย่ทันที และความผันผวนมาก ทำให้เราถือครองกองทุนหุ้นได้ไม่นานพอครับ ซึ่งจริงๆ แล้วการลงทุนในหุ้นอาจจะผันผวนบ้าง แต่ถ้ามีระยะเวลาลงทุนนานๆ ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี แต่เรากลับทนความผันผวนไม่ได้ ทำให้พลาดโอกาสได้ง่ายครับ

แต่ถ้าเรามีการจัดพอร์ตการลงทุนที่ดี มีสินทรัพย์ที่แตกต่างหลากหลาย เช่น หุ้น อสังหาฯ และตราสารหนี้อยู่ในพอร์ตการลงทุนของเราแล้วละก็ จะทำให้ความผันผวน และความเสี่ยงลดลงครับ ทั้งนี้ก็เพราะว่า แต่ละสินทรัพย์ไม่ได้วิ่งขึ้น-ลง ไปทางเดียวกันนั่นเอง

ด้วยการทำแบบนี้ เราจะได้ประโยชน์อยู่ 2 อย่างครับ คือ 1. ลดความเสี่ยงลง และ 2 เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้อีกด้วยครับ

ผมเชื่อว่าประโยชน์ข้อแรกนักลงทุนคงทราบกันดีอยู่แล้วใช่ไหมครับ แต่ข้อที่สองนั้น ผมคิดว่านักลงทุนอาจจะยังไม่ทราบว่า ถ้าเรามีการเลือกสินทรัพย์ที่ดี และมีแนวโน้มการเติบโตสูงจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ ลองนึกภาพตามนะครับ

ถ้าเรามีหุ้น และตราสารหนี้อยู่ในพอร์ตการลงทุน แล้วเราลดการลงทุนตราสารหนี้ลง จากนั้นเราก็เอากองทุนอสังหาฯ เข้ามา เดิมทีการลงทุนผ่านตราสารหนี้นั้น ผลตอบแทนจะอยู่ที่ประมาณ 2-3% ต่อปี ส่วนอสังหาฯ อยู่ที่ประมาณ 5-8% ต่อปี ซึ่งถ้าเอามาแทนกัน แน่นอนว่าจะทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตมีโอกาสสูงขึ้นได้ครับ

คราวนี้ก็มาถึงการเลือกสินทรัพย์ หรือ กองทุนที่ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีกันนะครับ ซึ่งกองทุนที่ลงทุนแล้วผลตอบแทนดี และคุ้มค่าที่สุดนั้นก็คือ……

“กองทุน RMF” นั่นเองครับ

เนื่องจากลักษณะของกองทุน RMF นั้นเป็นกองทุนที่ซื้อแล้ว สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ พอเอาไปลดหย่อนภาษีได้ รายจ่ายก็ลดลง เงินออมก็เพิ่มมากขึ้น แถมเงินก้อนนี้ก็สามารถงอกเงยได้ตามสินทรัพย์ที่เราเลือกไปลงทุนได้อีกครับ เพราะว่ากองทุน RMF นี้มีให้เราเลือกหลากหลายประเภทมากครับ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุนอสังหา ฯ กองทุนตราสารหนี้ ฯลฯ เรียกได้ว่ามีทุกประเภท ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปถึงสูงสุดเลยครับ

ดังนั้น กองทุน RMF จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับการลงทุนระยะยาว ผ่านการลงทุนในกองทุนรวมครับ ทั้งนี้ นักลงทุนเองก็อย่าลืมคำนวณ และอ่านเงื่อนไขต่างๆ ของ RMF ก่อนที่จะลงทุนทุกครั้ง เพราะว่าถ้าเราไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขก็จะต้องคืนเงินภาษีที่ลดหย่อนไป บางครั้งอาจจะเจอค่าปรับเพิ่มเติมอีกก็เป็นไปได้ครับ

เนื่องจากกองทุน RMF เองก็มีหลากหลายกองทุน แถมมีมากมายหลาย บลจ. อีก หากรีวิวกองทุน RMF ทั้งประเทศไทยคงจะใช้เวลานานไป ดังนั้น ในครั้งนี้ทางคลินิกกองทุนจะขอพาทุกท่านไปพบกับกองทุน RMF ที่มีความน่าสนใจ และที่จะเป็นพระเอกของเราในครั้งนี้กันครับ ซึ่งกองทุน RMF ที่จะมาช่วยเรากระจายพอร์ตการลงทุน และ สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีให้กับเราก็คือ

กองทุน RMF จาก บลจ. กรุงศรี ฯ นั่นเองคร้าบบบบบ

กองทุน RMF ของ กรุงศรีฯ มีหลายกองทุนเลยครับ ซึ่งแต่ละกองทุนก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน และจะเป็นตัวช่วยกระจายพอร์ตได้อย่างดี ซึ่งถ้าใครอ่านแล้วชอบ ใครคิดว่าเหมาะกับแบบไหนก็สามารถเลือกกองทุนเหล่านี้มาผสมอย่างที่ใจชอบได้เลยครับ หรือถ้าใครไม่มีเวลาก็สามารถเลือกกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนผสมก็ได้ครับ ซึ่งกองทุนเหล่านี้จะมีส่วนผสมของสินทรัพย์ที่หลากหลายและกระจายกันอย่างลงตัวไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัวครับ

มาที่ RMF กองทุนแรกกันเลยครับ นั่นก็คือ กองทุน KFAFIXRMF

เป็นกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งจะเน้นความมั่นคงมากกว่าผลตอบแทนสูง ๆ โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ หุ้นกู้เอกชนทั้งใน และต่างประเทศผสมเข้ามาด้วย เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้สูงมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้เสี่ยงจนเกินไปครับ โดยอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่อยู่ในกองทุนก็ประมาณ 2 ปีหน่อย ๆ ครับ ซึ่งก็สอดคล้องกับการลงทุนใน RMF ที่ต้องถือระยะยาวที่สำคัญคือเป็นกองทุนที่บริหารแบบ Active ผู้จัดการกองทุนจะเลือกตราสารต่างๆ และปรับสัดส่วนยืดหยุ่นทันสถานการณ์ ให้เราลงทุนยาวได้อย่างสบายใจ

กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 4-เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ แน่นอนว่าจะเหมาะกับคนใกล้เกษียณไม่อยากเสี่ยงลงหุ้นเยอะๆ ครับ มาลงทุนที่กองทุนนี้แทนดีกว่า มีการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกด้วยครับ ถ้าอยากจะลองดูว่ากลยุทธ์แบบนี้มีโอกาสให้ผลตอบแทนย้อนหลังยาวๆ ประมาณไหน ผมแนะนำให้นักลงทุนลองดูที่กองทุนคู่แฝดคือ KFAFIX ได้ครับ เปิดมาครบ 3 ปี ผลงานโดดเด่นได้ Morningstar 5 ดาวด้วยนะครับ (ณ 12 พ.ย. 62)* 

ส่วนกองทุนที่ 2 ก็คือ กองทุน KFS100RMF 

เป็นกองทุนหุ้นไทย ที่เน้นลงทุนใน 100 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทยครับ เพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนี SET 100ซึ่งหุ้นส่วนใหญ่ของกองทุนนี้ก็จะเป็นหุ้นบริษัทที่มีการลงทุนในต่างประเทศ หรือส่งออกสินค้าไปต่างประเทศด้วย นั่นก็หมายความว่าหุ้นส่วนใหญ่มีความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงเป็นบริษัทที่มั่นคงในระดับนึงเลยทีเดียวครับ

นอกจากนี้ครับ กองทุนนี้เป็นกองทุนประเภท Passive Fund ที่ลงทุนด้วยสัดส่วนแบบเดียวกับดัชนีอ้างอิง  ผู้จัดการกองทุนไม่ต้องดูแลใกล้ชิดแบบ Active Fund ทำให้ค่าธรรมเนียมของกองทุนไม่สูงมาก ลงทุนระยะยาวกับกองทุนนี้คุ้มค่ามากๆ ครับ ถ้านักลงทุนมั่นใจในหุ้นไทยว่าระยะยาวสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ กองทุนนี้ถือว่าเป็นกองทุนที่น่าจะแบ่งเงินมาลงทุนด้วยเป็นอันดับแรก ๆ เลยครับ กองทุนมีระดับความเสี่ยง 6-เสี่ยงสูง เหมือนกองทุนหุ้นทั่วไปครับ

กองทุนที่ 3 นั่นก็คือ กองทุน KFGBRANRMF 

เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีชื่อเสียง มีแบรนด์ที่ดี หรือมีเครื่องหมายการค้าที่รู้จักกันทั่วโลก ทำให้มีแนวโน้มการใช้ หรือ ซื้อสินค้าซ้ำ และเป็นสินค้าที่จำเป็นไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร จึงเหมาะมาก ๆ ครับ ที่จะลงทุนกับกองทุนนี้ในระยะยาว โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจที่ไม่ดี ตลาดหุ้นมีความผันผวน และมีความเสี่ยงสูงครับ

โดยที่กองทุนนี้จะไปลงทุนในกองทุนหลัก (Master Fund) ที่ชื่อว่า Morgan Stanley Investment Fund - Global Brands Fund (Class Z) ครับ ซึ่งกองทุนนี้เป็นกองทุนที่ได้รับ Morningstar 5 ดาว (ที่มา : Morgan Stanley ณ 30 ก.ย. 62)* และผลตอบแทนเองก็ชนะ Benchmark มาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นสิบปีครับ เอาเป็นว่าน่าลงทุนระยะยาว และนำมาใช้ในการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนด้วยมาก ๆ เลยครับ กองทุนมีความเสี่ยงระดับ 6-เสี่ยงสูง และมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนครับ

มาถึงตรงนี้ถ้าใครกำลังเริ่มรู้สึกว่าท่าทางจะยากไปแล้ว ที่จะมาเลือกทีละกองทุน จัดสัดส่วน แล้วต้องคอยตามติดปรับพอร์ตกันอีก

มาดูกองทุนสุดท้ายกันดีกว่าครับ นั่นก็คือ กลุ่มกองทุน 3 ดี RMF 

หลาย ๆ คนอาจคิดว่านี่เป็นชื่อกองทุนเหรอ ทำไมถึง 3 ดี  ต้องบอกว่า 3 ดี RMF เป็นซีรี่ย์ที่ประกอบไปด้วยกองทุนแบบ Flexible 3 กองทุนที่ดีนั่นเองครับ มาจากชื่อไทยของทั้ง 3 กองทุน คือกรุงศรีชีวิตดี๊ดี - ชีวิตดีเว่อร์- ชีวิตดีเริ่ด-เพื่อการเลี้ยงชีพ

ถ้านักลงทุนไม่รู้จะจัดพอร์ตยังไง ไม่รู้จะซื้ออะไร จะลงทุนอะไร  กองทุนซีรี่ย์นี้เหมาะมากครับ เพราะมีให้ทั้งตราสารหนี้ หุ้น กองทุนรวมอสังหาฯ REIT กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน รวมมาให้อยู่ในกองทุนเดียวเลย โดยจะมีผู้จัดการกองทุนคอยปรับสัดส่วนให้เหมาะกับสถานการณ์การลงทุน เรียกว่า ง่าย...ครบ...จบในกองทุนเดียว

กองทุน KFHAPPYRMF กรุงศรีชีวิตดี๊ดีเพื่อการเลี้ยงชีพ จะลงทุนในหุ้น + REITs + INFRAs รวมกันไม่เกิน 25% ที่เหลือจะเป็นตราสารหนี้

กองทุน KFGOODRMF กรุงศรีชีวิตดีเว่อร์เพื่อการเลี้ยงชีพ จะลงทุนในหุ้น + REITs + INFRAs รวมกันไม่เกิน 50% ที่เหลือจะเป็นตราสารหนี้ 

กองทุน KFSUPERRMF กรุงศรีชีวิตดีเริ่ดเพื่อการเลี้ยงชีพ จะลงทุนในหุ้น + REITs + INFRAs รวมกันไม่เกิน 75% ที่เหลือจะเป็นตราสารหนี้

ดังนั้น จะเลือกกองทุนไหน นักลงทุนเพียงแค่คิดว่าอยากให้มีสัดส่วน หุ้น + REITs+INFRAs แค่ไหนที่ตรงกับความเสี่ยง และผลตอบแทนที่เราต้องการนั่นเองครับ แน่นอนว่าถ้ายิ่งมีสัดส่วนของหุ้น + REITs + INFRAs เยอะ ก็จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนมากขึ้น บนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นด้วยนะครับ โดยทั้ง 3 กองทุนจะมีความเสี่ยงระดับ 5 ที่เป็นความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนข้างสูง

โดยสรุปครับ ถ้าอยากกระจายพอร์ตการลงทุนไปหลายๆ สินทรัพย์ ทาง บลจ.กรุงศรี นั้นมีกองทุนเยอะมากครับ ดักทางไว้หมดแล้ว 555+ พร้อมทุกความต้องการของนักลงทุนเลยทีเดียวครับ

สุดท้ายก่อนจากกันไป ผมแนะนำว่า ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร นักลงทุนก็ควรที่จะลงทุนอยู่เสมอครับ ยิ่งช่วงเวลาแบบนี้ยิ่งต้องศึกษาหาความรู้ไว้ เพื่อที่จะได้คัดเลือกสินทรัพย์มากระจายความเสี่ยงได้อย่างถูกต้องครับ และอย่าลืมว่าภาษีเองก็เป็นค่าใช้จ่ายสำคัญที่ต้องจ่าย เราต้องมีการวางแผนให้ดีครับ จะได้มีเงินเก็บที่มากขึ้น และมีเงินพอใช้ในยามเกษียณ ดังนั้นการลงทุนผ่านกองทุน RMF ที่ดี และหลากหลาย จึงเป็นทางออกสำหรับการลงทุนในยุคนี้ครับ

วันนี้ผมขอลาไปก่อน สวัสดีคร้าบบบบบ


*ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การจัดอันดับดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใ

คำเตือน : RMF ลงทุนเพื่อเกษียณอายุ ผู้ถือหน่วยลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหากไม่ปฎิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน | ผู้ลงทุนควรทำความ เข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุน ก่อนตัดสินใจลงทุน

บทความนี้เป็น Advertorial