สินค้าการเงินแต่ละแบบมีระดับความยากง่ายและซับซ้อนแตกต่างกัน เหมือนการเรียนหนังสือที่เรียงลำดับความยากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เรียนอนุบาล ประถม มัธยมและมหาวิทยาลัย เราเริ่มจากการรู้จักตัวอักษรทีละตัว การผสมคำ การอ่านเพื่อจับประเด็นไปจนถึงการวิเคราะห์เพื่อนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน

เรื่องการลงทุนก็เช่นกัน นอกจากมีความรู้เรื่องการเงินแล้ว ควรเข้าใจตัวเองว่าสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ระดับไหน เพื่อปกป้องเงินออมของเราให้ได้มากที่สุด หลังจากนั้นค่อยศึกษาเรื่องการลงทุนให้ลึกไปในแต่ละเรื่องที่เราสนใจ ก่อนตัดสินใจนำเงินเข้าไปลงทุน

กองทุนรวม : มือใหม่

เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งรู้จักโลกการลงทุนเป็นครั้งแรก เพราะกองทุนรวมเริ่มต้นใช้เงินน้อยหลักร้อยก็ลงทุนได้และมีหลายระดับความเสี่ยงให้เลือกตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง แทนที่ด้วยหมายเลข 1 - 8 คล้ายกับการเกิดแผ่นดินไหว

  • ถ้าระดับเบาความเสี่ยงต่ำก็ระดับ 1 - 2 เงินต้นขยับขึ้นลงเบาๆ ผลตอบแทน 1 - 2 %
  • ถ้าแผ่นดินไหวแบบรุนแรงระดับ 6 - 8 เงินต้นของเราก็มีทั้งโอกาสกำไร 50% และขาดทุน 50% 

สำหรับคนที่เริ่มต้นควรเริ่มต้นซื้อกองทุนรวมระดับความเสี่ยง 1 - 2 เพื่อให้เข้าใจระบบการซื้อขายและดูว่ากำไรขาดทุนว่าเป็นอย่างไร พอมีความชำนาญมากขึ้น คัดเลือกกองทุนรวม อ่านหนังสือชี้ชวนจนเข้าใจแล้ว ค่อยเริ่มซื้อกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น รวมถึงจัดพอร์ตกองทุนรวมตามสัดส่วนตามคำแนะนำในแบบทดสอบความเสี่ยงนะจ๊ะ

หุ้น : เข้าใจเรื่องการลงทุนแล้ว

เราจะเลือกซื้อบริษัทอะไร มี 2 แนวทาง คือ

=> นักลงทุนระยะยาวหรือที่ชอบเรียกกันว่า VI

เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการ แต่ไม่อยากบริหารเอง เน้นการอ่านงบการเงิน เพื่อรู้ว่าบริษัทมีรายได้ รายจ่าย ทร้พย์สินและหนี้สินเป็นอย่างไร มองภาพการตลาดว่าบริษัทนี้มีโอกาสเติบโตหรือไม่ มีปัจจัยอะไรบ้างที่จะมากระทบบริษัท เช่น ค่าเงินบาท โควิด-19 ฯลฯ

หากต้องการลงทุนแบบอุ่นใจและเป็นที่นิยมของกองทุนรวม ควรเลือกหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ใน SET 50 หรือ SET 100 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์จะมีการคัดเข้าและออกปีละ 2 ครั้ง

=> นักเก็งกำไรระยะสั้น 

เน้นการอ่านกราฟเทคนิค เริ่มจากดูอย่างง่าย เช่น เส้นEMA ดูแนวรับ แนวต้านอยู่ที่ไหน เส้นRSIว่าอยู่ในโซนของการซื้อหรือขายมากเกินไปหรือไม่ สิ่งสำคัญ คือ การมีวินัย cut loss หากไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้จะต้องขายตัดขาดทุนทันที เพื่อรักษาเงินต้นเก็บไว้เก็งกำไรรอบต่อไป

ส่วนใหญ่คนที่พังหรือขาดทุนย่อยยับ เกิดขึ้นมาจากทำใจขายขาดทุนไม่ได้ ปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็มา สุดท้ายดอยยาวเลยจ้า เราจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “ซื้อแบบนักเก็งกำไร แต่ขายแบบ VI” ขั้นเลวร้ายที่สุด หากบริษัทที่เคยถูกเก็งกำไรมีธุรกิจที่แย่ ไม่ส่งงบการเงิน มีโอกาสสูงมากที่จะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ คราวนี้เจ็บหนักเลยจ้า

คริปโทเคอร์เรนซี : เงินก้อนนี้ขาดทุนได้มากกว่า 50%

เหมาะสำหรับคนที่เข้าใจความผันผวนของการลงทุน ทำใจได้ว่าเงินอาจจะหายไปมากกว่า 50% ถ้าเคยเข้าใจการขาดทุนกองทุนรวมหรือหุ้นมาแล้ว ในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมีความโหดร้ายยิ่งกว่า สิ่งเดียวที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ท่ามกลางพายุของการเก็งกำไรแห่งนี้ได้ คือ การอ่านกราฟเทคนิค

อีกเรื่องที่สำคัญ คือ ควรมีเงินฉุกเฉินให้ครบก่อนและไม่ควรกู้ยืมเงินมาเก็งกำไร เพราะถ้าพลาดจากสิ่งที่คิดไว้ นอกจากชีวิตพังเพราะขาดทุนยับเยินแล้ว ยังมีหนี้สินติดตัวอีกด้วย มันไม่คุ้มเลยนะจ๊ะ

ส่วนกลยุทธ์การเก็งกำไรจะต้องวางแผนตั้งแต่เริ่มต้น บางคนอาจจะซื้อขายตามแนวรับแนวต้าน ในขณะที่บางคนซื้อเก็บไว้เรื่อยๆ เทคนิคส่วนตัวที่แอดมินใช้ คือ ซื้อตัวที่ได้รับความนิยม สภาพคล่องสูง ซื้อเก็บไว้เรื่อยๆ จุดขาย คือ หากมูลค่าพอร์ตลดลงจากจุดสูงสุด 20% จะขายทั้งหมด เพื่อรักษาเงินต้นและกำไร แต่ละคนมีเทคนิคของตัวเอง ไม่มีอะไรถูกหรือผิด หากใครชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้นนะจ๊ะ

สรุปว่า...

เมื่อแต่ละคนมีภูมิคุ้มกันที่ทนต่อระดับความเสี่ยงและความผันผวนได้ไม่เท่ากัน ก่อนที่จะนำเงินออมของเราไปไว้ที่ไหน ควรสำรวจความพร้อมของตัวเองก่อนว่าอยู่ระดับอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย หากเป็นมือใหม่เพิ่งเริ่มต้นควรไปอยู่ที่กองทุนรวม พอชำนาญขึ้นมาแล้วค่อยซื้อหุ้น ถ้าฝึกวิชาจนแข็งแกร่ง อ่านกราฟแม่นแล้วค่อยไปที่คริปโทเคอร์เรนซี

เงินออมของเราจะปลอดภัยหรือมีอันตราย 

มันขึ้นอยู่กับความรู้ของเรานะจ๊ะ

------------------

ขอบคุณแฟนเพจที่ให้การสนับสนุน

=> หนังสือวิธีจัดการเงินขั้นเทพ ฉบับลงมือทำ สารบัญในลิงค์นี้นะคะ https://bit.ly/3eeO33Q

=> จองคอร์สการเงินติวส่วนตัว , Workshop ที่เชียงใหม่กับแบบออนไลน์ผ่านระบบ ZOOM อ่านรายละเอียดได้ที่ลิงค์นี้เลยจ้า https://bit.ly/3dCv58z

=> คอร์สสอนเขียนเรื่องการเงิน สร้างรายได้จากการเขียน https://www.skilllane.com/courses/facebook-post-content-formula

เพจอภินิหารเงินออม