สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน ในช่วงปี 2019-2021 ที่ผ่านมานี้ การระบาดของ COVID-19 ได้เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบของเราไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจ และการลงทุนทั่วโลก เนื่องจากการระบาดของโรค COIVD-19 นั้น ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก สหรัฐ ฯ จึงได้ตัดสินใจทำ QE อีกครั้ง และ เป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดแบบไม่มีลิมิตวงเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ COVID-19 ได้มีการระบาดอย่างรุนแรง

แต่พอสถานการณ์ COVID-19 ในสหรัฐ ฯ เองก็เริ่มดีขึ้น เนื่องจากมีการเร่งฉีดวัคซีน และ มีนโยบายการควบคุมโรคที่ดีมากขึ้น ก็ทำให้คนในสหรัฐ ฯ รวมไปถึงประเทศอื่น ๆ ก็เริ่มที่จะกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้แล้ว ราคาสินค้าต่าง ๆ ก็เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคารถยนต์มือสอง ราคาบ้านมือสอง รวมไปถึงสินค้าอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้เกิด ภาวะเงินเฟ้อ  เริ่มปรับตัวสูงมากขึ้น ซึ่งมากขึ้นเกินกว่าในระดับที่ทางธนาคารกลางสหรัฐ ฯ หรือ FED ได้คาดการณ์ไว้ในตอนแรก

เมื่อทุกอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติ และมีเงินเฟ้อที่มากขึ้น ก็ทำให้ทาง FED เริ่มมีมุมมองที่จะปรับลดปริมาณ QE ลง รวมถึงมีแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกด้วยครับ

ในส่วนของการลงทุน เราก็จะเห็นได้ว่าหุ้นในสหรัฐ ฯ เองก็ได้ประโยชน์จากการทำ QE มาก่อนหน้า ทำให้ราคาหุ้นโดยเฉพาะใน S&P500 นั้น ทำ All Time High หลายรอบในช่วงที่เกิด COVID-19 ขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่ม Healthcare ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ราคาหุ้นถือว่าปรับตัวขึ้นสูงมาก และมีราคาที่แพง รวมไปถึงตราสารหนี้ด้วย

คราวนี้เรามาดูในฝั่งของประเทศจีนกันบ้าง ซึ่งจีนนั้นเป็นประเทศแรกที่พบการระบาดของโรค COVID-19 แต่ก็เป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่ควบคุม COVID-19 ได้เช่นกัน ทำให้กลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้เร็ว

แต่มาเจอแรงกดดันจากรัฐบาลจีนที่ออกนโยบายควบคุมเศรษฐกิจ และมาตรการต่างๆ ที่เข้มงวดมากขึ้นทำให้ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนตกลงมาเยอะพอสมควร  ซึ่งมาตรการต่างๆ ที่รัฐออกมานี้ จะช่วยควบคุมเศรษฐกิจไม่ให้ร้อนแรงจนเกินไป รวมถึงการเข้ามาดูแลการผูกขาดทางการค้าของ Platform ต่าง ๆ ในประเทศอีกด้วย ทำให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวผันผวนในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี แต่ถึงกระนั้นแนวโน้มการเติบโตระยะยาวก็ยังคงมีอยู่

ในส่วนของกลุ่มประเทศยุโรปเอง ถึงแม้ว่าแนวโน้มการฟื้นตัวเริ่มมีให้เราเห็นได้บ้าง แต่ก็ยังคงเป็นไปอย่างช้า ๆ เนื่องจากมีหลายประเทศในกลุ่มที่ยังฉีดวัคซีนได้ไม่ครบ หรือไม่ทั่วถึง ทำให้เศรษฐกิจที่ฟื้นนั้นก็ยังตามหลังประเทศอื่น ๆ อยู่อีกมาก แต่ก็ทำให้มีโอกาสในการลงทุน เนื่องจากตัวดัชนีหุ้นเองยังไม่สูงมากนัก และมีโอกาสเติบโตขึ้นได้อีก รวมถึงแนวโน้มของเงินเฟ้อเองก็เริ่มมีให้เห็นในรอบหลาย ๆ ปีอีกด้วยครับ

โดยสรุปแล้ว ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังมีภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างมาก ตามการควบคุมโรค และอัตราการฉีดวัคซีนนั่นเองครับ

การฟื้นตัวในการดำเนินเศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็มีความไม่แน่นอนสูงมากขึ้น บางประเทศราคาสินทรัพย์ก็เริ่มที่จะไม่ปรับตัวสูงขึ้นตามเงินเฟ้อสักเท่าไหร่ หรืออาจจะเพิ่งเริ่มมีเงินเฟ้อเกิดขึ้น จึงเป็นจุดที่น่าจะมีความผันผวนเกิดขึ้นได้มาก โดยเฉพาะกับเรื่องอัตราดอกเบี้ย ที่มีผลกระทบต่อตราสารหนี้ และ หุ้นอย่างมากครับ

ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือ การบริหารความเสี่ยง และ หาสินทรัพย์ลงทุนที่เติบโตได้ในช่วงเวลาแบบนี้ กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการทำ Asset Allocation และต้องปรับพอร์ตให้ทันต่อสถานการณ์การลงทุน หรือที่เราเรียกกันว่า Tactical Asset Allocation นั่นเองครับ โดยสินทรัพย์ที่น่าสนใจในช่วงเวลาแบบนี้ก็อาจจะเป็น ตราสารหนี้ที่ปรับดอกเบี้ยขึ้นลงตามเงินเฟ้อได้ หรือ อาจจะเป็นอสังหาฯ ที่เริ่มฟื้นตัว และได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ หรือาจจะเป็นหุ้นในกลุ่มที่เป็น Platform ใหม่ ๆ มีโอกาสเติบโตได้สูง 

แต่ถ้าเราเองอาจจะมีเวลาไม่มากในการปรับพอร์ตตามสถานการณ์แล้วละก็ การลงทุนในกองทุนผสม ที่มีสินทรัพย์หลากหลายกระจายความเสี่ยงไปพร้อมๆ กัน โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลและปรับสัดส่วนการลงทุน ให้เราอย่างทันท่วงที ตามสถานการณ์ทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

ดังนั้นวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกองทุนผสม ที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างดีและมีผู้จัดการกองทุนระดับโลก คอยปรับสัดส่วนการลงทุนให้กับเรา ด้วยกลยุทธ์ที่เรียกว่า Tactical Asset Allocation ครับ นั่นก็คือ

กองทุน KFCORE

กองทุนนี้เป็นกองทุนแบบ Fund of Funds (กองทุนรวมที่กระจายลงทุนในกองทุนรวมอีกที) ที่มีนโยบายการลงทุนในกองทุนรวม และ กองทุน ETF มากกว่า 2 กองทุนขึ้นไป โดยกองทุนนี้ได้มอบหมายให้ BlackRock ทำหน้าที่เป็นผู้รับดำเนินการงานการลงทุนในต่างประเทศของกองทุน (outsource) ทั้งนี้ BlackRock นับเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการอยู่ที่ 9.4 Trillion USD หรือ ประมาณ 30 ล้านล้านบาท โดยมีทั้งกองทุนรวม และ กองทุน ETFs ให้เลือกมากกกว่า 2,000 กว่ากองทุนอีกด้วยครับ

กองทุน KFCORE นี้จัดตั้งขึ้นสำหรับลูกค้ากรุงศรี เพื่อให้ทาง BlackRock บริหารให้โดยเฉพาะ โดยเน้นการปรับพอร์ตอย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ตลาด ผ่านการคัดเลือกกองทุน ETF และ กองทุนรวมที่ดีที่สุดมารวมกัน จึงครอบคลุมทั้งสินทรัพย์เสี่ยง ที่มีโอกาสผลตอบแทนสูงอย่างหุ้น และสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้ เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีในแต่ละช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป  ภายใต้ระดับความเสี่ยงและความผันผวนไม่มากจนเกินไป

เป้าหมายที่ชัดเจนของกองทุนอยู่ที่การสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอ ซึ่งมาจากส่วนแรกคือการกระจายความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุน เนื่องจากกองทุนของ BlackRock เองมีสินทรัพย์ลงทุนที่หลากหลายทั่วโลก อีกส่วนหนึ่งคือฝีมือการบริหารของ  BlackRockที่มีการปรับพอร์ตรวดเร็ว ทำให้กองทุนมีความยืดหยุ่น สร้างผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ 

โดยในเดือน ส.ค. BlackRock ได้บริหาร KFCORE โดยลงทุนแบบ Fund of Funds อยู่ประมาณ 18 กองทุนย่อย มีทั้งกองทุนรวม และกองทุน ETF ดังนั้นสินทรัพย์จะถูกกระจายออกไปอีกมากมาย เพราะว่า 1 กองทุน ETF ก็มีสินทรัพย์ที่กระจายความเสี่ยงอยู่มากมายแล้วนั่นเองครับ

ส่วนการปรับพอร์ตของกองทุนที่เราเรียกว่าเป็น Tactical Asset Allocation จะเน้นการปรับพอร์ตอย่างรวดเร็วเพื่อหาโอกาสในแต่ละสถานการณ์ โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยเชิงมหภาค และใช้มุมมองการลงทุนระยะสั้นประมาณ 3 เดือน - 1 ปี ยกตัวอย่างการปรับพอร์ตที่รวดเร็วทันกับสถานการณ์  เช่น ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลง  ทางกองทุน KFCORE ได้มีการปรับลด duration ของตราสารหนี้จาก 11 ปี ให้เหลือ 5 ปีภายในระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น  และในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมากองทุน KFCORE มีการปรับพอร์ตโดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจาก 31 เป็น 39 % จากมุมมองภาพเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น

จึงไม่แปลกเลย ถ้าจะนำกองทุนนี้ไปเป็นหัวใจหลักของการลงทุนในพอร์ตของเรา คือสามารถลงทุนได้ ในสัดส่วนที่เยอะ หรือที่เรียกว่าเป็น Core Portfolio นั่นเองครับ ซึ่งการทำแบบนี้ ก็จะลดความผันผวนให้กับการลงทุนของเราได้ครับ

กระบวนการวิเคราะห์สินทรัพย์เพื่อการลงทุนค่อนข้างน่าสนใจมากครับ เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) แบบ Natural Language Processing หรือ NLP เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ ตัดคำ ตีความ ในงานวิจัยต่างๆ เช่น คำพูด แถลงการณ์ของ FED เพื่อหาแนวโน้มของการออกนโยบายต่อจากนี้ ทำให้เกิดความแม่นยำในการปรับพอร์ต การลงทุนมากขึ้นอีกด้วยครับ ถือว่าน่าสนใจมาก ๆ ครับ

ด้วยวิธีการบริหารงานแบบให้เทคโนโลยีที่ทันสมัยแบบนี้ ก็ทำให้นักลงทุนสถาบัน เช่น แบงค์ชาติในต่างประเทศ หรือธนาคารระดับโลกซึ่งจริง ๆ แล้วก็สามารถลงทุนเองได้ แต่ก็นำเงินมาลงทุนกับ BlackRock ในการบริหารจัดการ แบบนี้ด้วย

โดยสรุปแล้ว ผมคิดว่ากองทุนนี้เป็นอีก 1 กองทุนที่นักลงทุนเองก็น่าจะเอามาทำเป็น Core Port ด้วยลักษณะที่เป็น Multi Asset Class ที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี และมีการปรับพอร์ตที่เร็วทันกับสถานการณ์ ในปัจจุบัน ที่มีความผันผวนเกิดขึ้นทั่วโลกจากเศรษฐกิจที่เติบโตไม่เหมือนกัน

KFCORE จัดตั้งเมื่อปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ซึ่งถ้าดูการเติบโตของ NAV ถึงแม้จะมีช่วงลดลงบ้างจากการที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรของอเมริกาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทำให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลง แต่ผู้จัดการกองทุนก็ได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ตลาด จนทำให้มีการเติบโตที่น่าสนใจสำหรับกองทุนผสมแบบนี้

ในส่วนของค่าธรรมเนียมเอง จะมีการเก็บค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วย หรือ Front-End-fee ที่ 1.5% ค่าธรรมเนียมการจัดการ1.33 % และ Total expense ratio หรือ TER อยู่ที่  1.54% ต่อปี ผมต้องบอกว่าถือว่าถูกมากเนื่องจากค่าธรรมเนียมนี้ ได้รวมค่าธรรมเนียมของทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาแล้วด้วยครับ ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่หยิบกองทุน ETFs มาบริหารจัดการจึงทำให้ค่าธรรมเนียมทั้งหมดนั้นถูกกว่ากองทุนผสมแบบทั่วไป นั่นเองครับ

โดยสรุปผมคิดว่า กองทุน KFCORE นี้ เป็นกองทุนที่นักลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจ กองทุนหนี่งเลย และไม่ต้องคิดมากเวลาที่จะใส่เงินลงทุนในกองทุนนี้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกองทุนนี้มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี ปรับพอร์ตอย่างรวดเร็ว ค่าธรรมเนียมไม่แพง จึงสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอมากขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนแบบนี้ได้

เมื่อมีกองทุนนี้เป็น Core Port การลงทุนของเราแล้ว นักลงทุนเองก็ยังสามารถไปคัดเลือกกองทุนอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เช่นกองทุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่าง กองทุนเทคโนโลยี กองทุนกลุ่ม Healthcare ก็สามารถทำได้อย่างสบายใจ เพราะว่าอย่างน้อย ๆ ก็ได้ความสม่ำเสมอจากกองทุน KFCORE ที่ลงทุนไปแล้วมาช่วยเพิ่มความมั่นใจครับ 

ก่อนจากกันไป ผมต้องบอกนักลงทุนทุกท่านว่าโดยปกติแล้วเวลาผมแนะนำการลงทุนให้กับนักลงทุนทั่วไป ผมจะเน้นไปที่การจัดพอร์ตที่มีสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยง เพื่อให้เงินของเรานั้นไปถึงเป้าหมาย ได้อย่างปลอดภัย

แต่การลงทุนด้วยการจัดพอร์ตให้เหมาะกับเรา และเป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องใช้กองทุน ที่หลากหลายพอ และก็ต้องมีการแบ่งเงินไปลงทุนในกองทุนที่มีโอกาสในการเติบโตมากขึ้นไปอีกทางด้วย ทำให้วุ่นวายพอสมควรครับ 

ซึ่งการลงทุนผ่านกองทุน KFCOREนี้ จึงเป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยให้นักลงทุนต้องไม่สับสนวุ่นวาย กับการจัดพอร์ตการลงทุน และสร้างความสบายใจให้กับเราได้ตลอดการลงทุนครับ

กองทุนนี้เป็นเอกสิทธิ์สำหรับลูกค้ากลุ่มกรุงศรีเท่านั้น ดังนั้นใครที่กำลังมองหากองทุนหลักในพอร์ตที่จะลงทุนยาวๆ อย่างมั่นใจ และสนใจ KFCORE สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด โทร. 02-657-5757 หรือเว็บไซต์ www.krungsriasset.com หรือ ติดต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา https://bit.ly/3nvApBE

วันนี้ผมคงต้องลาไปก่อน ครั้งหน้าพบกันผมจะนำกองทุนที่น่าสนใจแบบนี้มาพูดคุยให้ฟังกันอีกแน่นอนครับ ขอให้โชคดีกับการลงทุนนะครับ สวัสดีครับ

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า  เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน

KFCORE ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวม ETF ต่างประเทศที่ลงทุนในตราสารทุน เงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน สินค้าโภคภัณฑ์ ทรัพย์สินทางเลือก กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REITs และ Infra funds ต่างประเทศ I ระดับความเสี่ยง: 5 - เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง I กองทุนป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

บทความนี้เป็น Advertorial