สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน...

เนื่องจากวันก่อนผมได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ คุณตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ (เผ่า) CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta และมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ETF อยู่ค่อนข้างมาก  วันนี้เลยมีโอกาสมาเล่าให้กับทางผู้ติดตามเพจคลินิกกองทุนแห่งนี้ครับ

ในช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีความผันผวนจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ สงครามการค้า ราคาน้ำมันที่ผันผวน และCOVID-19 การเลือกลงทุนในประเทศไทยอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดี เนื่องยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยเฉพาะหุ้นตัวใหญ่ในตลาด เช่น การท่องเที่ยว และบริษัทน้ำมัน รวมถึงกลุ่มการเงิน ดังนั้นหากอยากลงทุนในประเทศไทย อาจจะต้องทำการบ้านมากขึ้น เพื่อให้ได้หุ้นที่มีคุณภาพ แต่ก็ถือว่ายากมากในการลงทุนต่างจากสมัยก่อน

แต่ในทางกลับกันในต่างประเทศหุ้นของประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐ และ จีน กลับทำผลตอบแทนได้ดีกว่ามาก เติบโตได้มาก เพราะว่ามีหุ้นหลายตัวที่ไม่ได้รับผลกระทบ หรือได้รับผลกระทบน้อย หรือพูดง่าย ๆ ว่ากลุ่มธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ นั้น ทำธุรกิจได้ดีกว่าหุ้นที่ทำธุรกิจแบบเดิม ๆ นั่นเองครับ

ซึ่งที่ตลาดต่างประเทศเติบโตได้ดี ส่วนหนึ่งก็มาจากแนวทางการทำธุรกิจที่มีรายได้ต่อเนื่อง อย่างพวก Google , ZOOM, Netflix etc.. ที่มีแนวทางการเก็บค่าบริการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องจากผู้ใช้บริการ และที่สำคัญเลิกใช้บริการค่อนข้างยาก เพราะว่าเกือบจะเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจของ SME หรือ บุคคลทั่วไปนั่นเอง

ดังนั้นการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังต่างประเทศ น่าจะเป็นคำตอบมากกว่าการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจะต้องทำการบ้านมากกว่าการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงเสียอีก

ซึ่งกองทุนที่น่าสนใจมาก ๆ และช่วยเรากระจายความเสี่ยงได้ดีมาก ๆ เลยก็คือ กองทุน ETF ที่มีความหลากหลายของสินทรัพย์ และ ยังมีสภาพคล่องที่ดีอีกด้วยครับ

แล้วอะไรคือ “ETF”

ETF ย่อมาจาก Exchange Traded Fund หรือ กองทุนที่สามารถซื้อขายในตลาดหุ้นได้

เสมือนหุ้น 1 ตัวนั่นเองครับ และที่สำคัญแถบจะเป็น Real time ไม่เหมือนกับกองทุนทั่วไปที่จะต้องรอราคา NAV ณ สิ้นวันที่ซื้อ ไม่สามารถเก็งกำไร หรือว่าจับจังหวะได้ดีเท่ากับการลงทุนใน ETF ครับ     พร้อมกว่า ได้เปรียบกว่า ลงทุนทั่วโลกกับ ETF

นอกจากนี้สินทรัพย์ของ ETF นั้นจะมีมากกว่ากองทุนธรรมดาทั่วไป เช่น กองทุนหุ้นปกติจะมีหุ้นประมาณ 10-50 ตัว แต่สำหรับ ETF จะเน้นลงทุนตามดัชนีตลาดหุ้น หรือ ดัชนีของสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ไปลงทุน เช่น ถ้าหากเป็นกองทุน ETF หุ้นสหรัฐ ฯ ก็อาจจะมีหุ้นประมาณ 750 ตัว พูดง่าย ๆ ว่าเงินที่เราลงทุนไปนั้นจะกระจายไปลงทุนในหุ้นถึง 750 ตัวเลยทีเดียวครับ

พร้อมกว่า ได้เปรียบกว่า ลงทุนทั่วโลกกับ ETF

      ซึ่งพอเป็นแบบนี้ก็ทำให้ความเสี่ยงถูกกระจายไปหลาย ๆ กลุ่มอุตสาหกรรม หรือถ้าอยากที่จะลงทุนแบบเน้นลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมก็สามารถทำได้นะครับ เพราะว่า ETF มีให้เราเลือกได้มากมายเลยทีเดียวครับ ไม่ว่าจะเป็น Healthcare, Technology, Property/REITs หรือจะลงทุนเป็นประเทศต่าง ๆ เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม ก็มีให้เราเลือกลงทุนได้เช่นกันครับ

พร้อมกว่า ได้เปรียบกว่า ลงทุนทั่วโลกกับ ETF

คราวนี้ก็มาถึง ETF ที่น่าสนใจ และไม่ได้เป็น ETF ทั่ว ๆ ไปที่มีการกระจายความเสี่ยงเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าเราเลือกได้ดีก็มีโอกาสเติบโตได้มากกว่า ซึ่งพี่เผ่าก็ได้ให้มุมมองต่อการลงทุนดังนี้ครับ หากพูดถึงการลงทุนในยุคนี้ที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับนักลงทุน และคิดว่ายังคงเป็นสิ่งที่นักลงทุนสามารถลงทุนได้ เติบโตได้ก็ดีคือ “เทคโนโลยี” ที่มีรายได้หลากหลายทางมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทั้งนี้ก็เพราะว่าเทคโนโลยีนั้นเข้าไปอยู่ในกลุ่มธุรกิจเดิม ๆ เกือบหมดแล้วนั่นเองครับ นอกจากนี้ทางพี่เผ่ายังมองว่า Sub-Sector ETF บางตัวก็ยังคงมีความน่าสนใจ  เช่น E-commerce, Game - Esport,  ระบบ Cloud Comptuing, healthcare, AI etc. โดยเฉพาะผลตอบแทนต่อปีที่ค่อนข้างจะสูง และมีความน่าสนใจเนื่องจากบางธุรกิจเพิ่งจะเริ่มเติบโตด้วยซ้ำ ถือว่ามีโอกาสในการลงทุนอยู่อีกมากมากเลยทีเดียว

พร้อมกว่า ได้เปรียบกว่า ลงทุนทั่วโลกกับ ETF

โดยถ้าหากเราลงทุนใน ETF กลุ่มนี้ก็อาจจะไม่ต้องไปมองหาหุ้นรายบริษัท เพราะว่ามีโอกาสผิดพลาดได้เช่นกัน ซึ่งถ้าเรามั่นใจว่ากลุ่มธุรกิจนี้ไปต่อได้ นักลงทุนเองก็ควรที่จะซื้อผ่าน ETF จะดีกว่า ง่ายกว่า สะดวกกว่า และความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นรายตัว
ที่สำคัญค่าธรรมเนียมกองทุน ETF นั้นก็ถูกกว่าการลงทุนในกองทุนรวมธรรมดาอีกด้วย
พร้อมกว่า ได้เปรียบกว่า ลงทุนทั่วโลกกับ ETF ซึ่งการลงทุนผ่าน ETF ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็ค่อนข้างจะไปด้วยกันกับ Core Value ของ Jitta Wealth ก็คือ ทำให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายมากขึ้น ลงทุนได้ดี และ ค่าธรรมเนียมไม่แพงอีกด้วย ดังนั้น Jitta Wealth จึงเอา ETF ที่ถือว่าเป็นสินค้าทางการเงินที่น่าสนใจ มาจัดเป็นพอร์ตการลงทุนให้กับนักลงทุน โดยมีการลงทุนอยู่ 2 รูปแบบหลัก ๆ เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนตามความเสี่ยง และ แนวทางการลงทุนของตนเอง คือ

1. Global ETF

พร้อมกว่า ได้เปรียบกว่า ลงทุนทั่วโลกกับ ETF

Jitta Wealth Global ETF ก็คือ การนำกองทุน ETF ทั่วโลกมาจัดเป็นพอร์ตการลงทุนให้กับเรา โดยจะมีสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น ETF หุ้น และ ETF ตราสารหนี้ มาผสมกันด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้เราได้ผลตอบแทนที่ดี บนความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด ซึ่งก็จะมีให้เราเลือกได้ 3 รูปแบบคือ

1.1 พอร์ตเติบโต ที่เน้นการลงทุนระยะยาว ๆ และคาดหวังผลตอบแทนสูง ๆ ประมาณ 8% ต่อปี

1.2 พอร์ตสมดุล เป็นพอร์ตที่มีความเสี่ยงกลาง ๆ มี ETF หุ้นทั่วโลกอยู่ที่ 50% และ คาดการณ์ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปี

1.3 พอร์ตพอเพียง ที่เน้นผลตอบแทนไม่สูงอยู่ที่ประมาณ 4% ต่อปี แต่ช่วยในเรื่องของผลตอบแทนที่ค่อนข้างจะสม่ำเสมอแทน เพราะว่ามีสัดส่วน ETF หุ้นเพียงแค่ 20% ที่เหลือเป็น ETF ตราสารหนี้ที่จะสร้างผลตอบแทนได้มั่นคงกว่า

    โดยนักลงทุนเองก็สามารถเลือกได้นะครับ ว่าจะอยากได้แบบไหน ใครที่ไม่มีเวลาดูพอร์ต หรือจัดพอร์ตเอง วิธีนี้ถือว่าน่าสนใจมากครับ และยังได้ลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่มีโอกาสเติบโตได้อย่างที่พี่เผ่าเล่าไว้ในตอนแรกครับ

2. Thematic ETF  นอกจากจะมีการจัดพอร์ตให้แล้ว ทาง Jitta Wealth ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนกับ ETF กลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเน้นสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน โดยมีธีมที่น่าสนใจที่ทาง Jitta Wealth ได้เลือกมาให้แล้ว เหมือนให้นักลงทุนได้ออกแบบได้ดั่งใจที่ต้องการ แต่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะได้ ETF ที่ไม่มีคุณภาพ เพราะว่าได้ผ่านการเลือกมาให้แล้วนั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น  ETF ธุรกิจกัญชา ซึ่งน่าจะมีแนวโน้มการเติบโตที่สูง เนื่องจากสามารถนำมารักษาโรคบางอย่างได้ดี น่าจะเติบโตเหมือนกับกลุ่ม Healthcare แต่ถ้าราคาของหุ้นในกลุ่มยังไม่เห็นแนวโน้มที่ดี หรือ แนวโน้มของธุรกิจยังไม่ดีพอ ทางทีมงานก็อาจจะยังไม่ได้นำมาบรรจุลงใน List ให้เลือกครับ ดังนั้นเวลาเลือกธีมต่าง ๆ ก็อยากให้สบายใจ เพราะว่าทีมงานทำการบ้านมาให้แล้วนั่นเองครับ พร้อมกว่า ได้เปรียบกว่า ลงทุนทั่วโลกกับ ETF ซึ่งทาง Jitta Wealth จะมี Theme มาให้เลือก 10 Theme ที่ส่วนใหญ่จะเป็น ประเทศที่มีการเติบโตสูง เช่น ประเทศจีน และ อินเดีย และก็ยังมี Sector หรือ Sub-Sector ที่มีความน่าสนใจ เช่น E-sport และ Fin-Tech รวมไปถึงระบบ Cloud และ E-Commerce ด้วยครับ Theme ที่ทาง Jitta Wealth มีให้เลือกลงทุน ได้แก่ 1. หุ้นจีน  2. หุ้นเมกา  3. หุ้นอินเดีย  4. Health Care  5. Tech  6. Fintech  7. Game E-sport  8. Cloud Technology  9. AI/Robotic  10. E Commerce  Theme เหล่านี้ มีความน่าสนใจมาก ๆ เลย ครับ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเกมส์ ที่กำลังมาแรง และอย่าคิดว่าธุรกิจเกมส์จะขายเกมส์อย่างเดียวนะครับ มีการจัดงานเแข่งที่มี Sponser มาให้เงินมากมาย ค่าตัวนักกีฬาก็เริ่มสูงมากขึ้น อุปกรณ์คอมต่าง ๆ ก็นิยมใช้กันมากขึ้น หรือแม้แต่ของในเกมส์ก็ต้องมีการซื้อขาย เพื่อให้ผู้เล่นดูดี หรือ เก่งขึ้นในเกมส์อีกด้วยครับ ซึ่งในตลาดนี้ก็ยังเติบโตไม่เต็มที่นะครับ มีโอกาสไปต่อได้อีก ดังนั้นจะการลงทุนตั้งแต่วันนี้ก็ยังมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้อีกครับ พร้อมกว่า ได้เปรียบกว่า ลงทุนทั่วโลกกับ ETF Condition : 
  • สามารถเลือกขั้นต่ำ 1 Theme สูงสุด 5 Theme
  • เปิดขั้นต่ำ 100,000 บาท / ลงทุนครั้งถัดไป ครั้งละ 10,000 บาท
  • สามารถเลือก Theme ที่สนใจและจัด Port เองได้ถ้าหากต้องการเปลี่ยนก็แจ้งทางทีมงานได้เลย
  • Jitta Wealth จะคิดค่าบริหารจัดการ 0.5% ซึ่งถูกมาก ถ้าเทียบกับกองทุน FIF
หลังจากที่เลือกธีมที่ชอบแล้ว ทางระบบก็จะจัดการลงทุนให้ ธีมละเท่าๆ กันในพอร์ตครับ หรือที่เรียกว่า Equal Weight และทีมงานก็ยังมีบริการอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อดูแลนักลงทุนด้วยครับ เช่น การทำ Rebalacing ที่มีประโยชน์มากสำหรับนักลงทุน  โดยไม่ว่าจะเป็น Global ETF หรือ Thematic ETF ก็ตาม การปรับพอร์ตลงทุน (Rebalancing Portfolio) นั้นมีหลักการง่ายมากครับ แค่ใช้วิธีการที่เรียกว่า “ซื้อของถูกเข้า ขายของแพงออก” นั่นหมายความว่า สินทรัพย์ของกองทุนไหนที่ราคา NAV ขึ้นมาสูงก็ให้ขายออก หรือสินทรัพย์ไหนของกองทุนไหนที่ราคา NAV ลดต่ำลงก็ซื้อเพิ่ม เพื่อให้คงสภาพสัดส่วนเดิมไว้ เช่น พอร์ตปกติของผมเป็น ETF หุ้น 80% ETF ตราสารหนี้ 20%ต่อมาสิ้นปี ETF หุ้นลดลง พอร์ตลงทุนของผมหน้าตาเปลี่ยนเป็น ETF หุ้น 74 % ETF ตราสารหนี้ 25% ผมก็ขาย ETF ตราสารหนี้บางส่วน และ ซื้อETF หุ้นเข้ามาเพิ่ม ให้กลายเป็น ETF หุ้น  80% และ ETF ตราสารหนี้ 20%เหมือนเดิม พร้อมกว่า ได้เปรียบกว่า ลงทุนทั่วโลกกับ ETF ซึ่ง Jitta Wealth จะทำการ Rebalancing ให้ตามช่วงเวลา และอัตราผลตอบแทนของพอร์ตที่เกิน 5% ขึ้นไป ก็เพื่อที่จะทำให้ความเสี่ยงของพอร์ตที่เราลงทุนไม่สูงเกินไป แน่นอนว่า Jitta Wealth นั้นทำให้การลงทุนผ่าน ETF เป็นเรื่องง่ายมากขึ้นกว่าเดิม เพราะว่า วิธีการลงทุนผ่าน ETF แบบเดิม ๆ เช่น เปิดพอร์ตเอง หรือ ลงผ่านกองทุน นั้นล้วนมีข้อจำกัด เช่น ค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างสูง (สำหรับการลงทุนผ่านกองทุนรวมปกติ) และ มีขั้นต่ำในการลงทุนแพง (สำหรับการเปิดพอร์ตไปลงทุนเองผ่านโบรคเกอร์ที่มีแผนก Off-shore) สุดท้ายนี้ผมต้องบอกว่า ผมเองก็เป็นคนนึงที่ชอบการลงทุนผ่าน ETF เช่นกันครับ แต่ปกติแล้วจะทำการซื้อขายเองผ่านโบรคเกอร์เป็นหลัก แต่ต้องบอกว่าพอเห็นที่ Jitta Wealth ทำแล้ว ผมเองก็เริ่มคิดแล้วว่า จะลงทุนเองให้เหนื่อยทำไม ถ้ามีคนเลือกให้ และค่าธรรมเนียมเองก็ไม่แพง ทำการซื้อขายผ่าน App ได้ด้วยถือว่าสะดวกมาก ๆ ครับ สงสัยคงต้องแบ่งเงินไปลงทุนบางแล้วละครับ ถ้านักลงทุนท่านไหนที่อยากลงทุนใน ETF ที่เราเลือกได้ว่าจะลงทุนในธีมแบบไหน หรืออยากได้บริการดี ๆ มีคนทำพอร์ตการลงทุนให้ ไม่ต้องมาดูเองทั้งหมด ผมคิดว่า Jitta Wealth เองก็ถือว่าเป็นทางออกง่าย ๆ ทางนึงเลยครับ แหม่ หน้ากระดาษหมดแล้วครับ ไว้คราวหน้าจะกลับมาเล่าถึงกองทุนที่น่าสนใจกันอีก แล้วพบกันใหม่ วันนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีคร้าบบบ บทความนี้เป็น Advertorial