เชื่อมั้ยว่า...ในตอนนี้คน Gen Y เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อสังคมและองค์กรต่างๆ มากขึ้น คนในสังคมและองค์กร จึงต้องมีการปรับตัวเข้าหากันเพื่อความราบรื่น

ผู้ใหญ่รุ่นเดอะในองค์กรที่นับเป็น Gen X (พ.ศ. 2508 – 2522) ต้องเรียนรู้ และเปิดรับความคิดใหม่ๆ ในขณะที่คน Gen Y ก็ควรจะรับฟังคำสอน และประสบการณ์ของรุ่นพี่ จะได้ร่วมงานกันต่ออย่างมีประสิทธิภาพ

จากที่ผ่านมาผมได้ทำงานร่วมกับคน Gen X  ก็จะพบเจอนิสัยที่โดดเด่นของคนรุ่นก่อน ประมาณนี้...

• ชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องเยอะมาก ... แต่ถูกต้องตรงประเด็น

• อึด ถึก และมีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ  

• อยู่กับโลกความจริงมากกว่าความฝัน

• มีหลักการเป็นของตัวเอง และเชื่อมั่นในตัวเองสูง

• ชอบความมั่นคงมากกว่าความเสี่ยง

• ถ้าใครอินกับหนังเรื่อง “แฟนฉัน หรือ บุญชู” มากๆ แสดงว่า..นั่นแหละยุคสมัยของพี่เขา

ถ้าคน Gen Y อย่างเรา อยากจะนำนิสัยต่างๆ มาปรับให้เหมาะกับการใช้ชีวิต หรือการทำงานก็ได้นะ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่โอเคเลย...เพราะคน Gen Y ส่วนใหญ่ ก็จะไม่มีนิสัยเหล่านี้กันซักเท่าไหร่

แน่นอนว่าคน Gen X ก็มีมุมมอง และแนวคิดด้านการเงินที่แตกต่างออกไปเช่นกัน

จากที่ผมทำงานให้คำปรึกษาเรื่องการเงินมา ก็พบว่า คน Gen X หลายๆ เคสก็มีนิสัยทางด้านการเงินที่น่าสนใจ สามารถนำมาปรับใช้ก็ได้ หากคิดว่ามันเวิร์ค และเหมาะกับนิสัยของเรา

• มีวินัยในเรื่องการเงินสูง

เนื่องจากคน Gen X มีความอดทนสูงมาก! พวกเขาสามารถอดทนอดกลั้น และยับยั้งชั่งใจ ไม่ปล่อยให้ตัวเองใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย จะใช้เงินซักครั้ง ก็ต้องคิดแล้วคิดอีก

เพราะหลายๆ คนตั้งตัวมาจากยุคข้าวยากหมากแพง มีความรู้สึกว่า “เงินทองหายาก” ฉะนั้นเมื่อเขาได้จัดสรรเงินอย่างมีระเบียบแล้ว จะไม่หยิบจ่ายมั่วซั่ว

เงินเก็บก็คือเงินเก็บ อย่าปนกับเงินส่วนอื่น เข้าใจนะ!!

• ลงทุนตามข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ได้พบ

ด้วยความที่เป็นคนอยู่กับร่องกับรอย คน Gen X ส่วนใหญ่ จะเลือกลงทุน ตามข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ และได้รับการตรวจสอบมาเป็นอย่างดีแล้ว

ข่าวลือ หรือ Story ที่ดูไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้นจริง ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจให้นักลงทุน Gen X มากนัก พวกเขาจะสืบหาข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงด้วยตัวเอง เพราะเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่า

ไม่สนใจข่าวลือ Buy/Sell on Fact เท่านั้นจ้าาาา!!

• ลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้

วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว น่าจะสร้างภูมิต้านทานให้กับคน Gen X หลายคน เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นได้สร้างบทเรียนเรื่อง “การลงทุน” ที่ไม่เหมาะกับความเสี่ยงที่รับได้

คน Gen X หลายคน เคยเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นคือแหล่งผลิตเงินชั้นยอด จากการที่เศรษฐกิจไทยเติบโตจนได้ชื่อว่าเป็น “เสือตัวใหม่ของเอเชีย” ซื้อหุ้นตัวไหนก็ขึ้น ลงทุนอะไรก็รวย โดยที่ไม่ได้ศึกษาความเสี่ยงมาก่อน

SET INDEX ก่อนเกิดวิกฤตเคยทำจุดสูงสุดที่ 1,682.85 จุดในเดือน ธันวาคม 2536 ก่อนปรับตัวลงต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ 214.53 จุด นับเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่ของนักลงทุนที่เชื่อมั่นในตลาดหุ้นก่อนหน้านั้น

ถึงแม้บางคนจะไม่ได้เจอกับตัวเองโดยตรง แต่นั่นทำให้พวกเขาเลือกที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากขึ้น ความเสี่ยงต่ำ เหมาะกับตัวเอง หรือถ้าเลือกลงทุนในหุ้น ก็ต้องศึกษาข้อมูลต่างๆ มาเป็นอย่างดีแล้ว

• เงินของครอบครัวสำคัญกว่าของตัวเอง

ไม่รู้ว่าข้อนี้ผมคิดไปเองรึเปล่านะ แต่ผมรู้สึกว่าคน Gen Y หลายคนสมัยนี้ มีครอบครัวที่พร้อมและมีรายได้ทางบ้านที่ดีอยู่แล้ว

พ่อแม่ของ Gen Y หลายๆ คนอาจจะเป็นคนรุ่น Gen X หรือไม่ก็ Baby Boomer ที่สร้างตัว สร้างธุรกิจที่มั่นคงให้กับครอบครัวได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาลูกๆ ก็ได้

ทำให้คน Gen Y สามารถออมเงินเพื่อสร้างตัวเองได้เร็วขึ้น ต่างจากคน Gen X ที่เห็นพ่อแม่ของตัวเองทำงานอย่างหนัก พวกเขายังไม่มีแบ๊คอัพที่ดีเหมือนคนสมัยนี้ จึงเลือกที่จะทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว เห็นความสำคัญของครอบครัวมาก่อนตัวเองเสมอ

เอาเข้าจริงๆไม่ว่าจะเกิดในสมัยไหน ถ้าเราช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านได้ ก็แบ่งเงินไปให้เถอะคนดี ถึงพ่อแม่จะไม่ได้ร้องขอก็ตาม

• ระมัดระวังตัวและหลีกเลี่ยงการลงทุนที่ไม่น่าเชื่อถือ

ข่าวแชร์แม่ชม้อยที่ระบาดในปี 2528 เป็นข่าวที่คน Gen X ตื่นตัวมากกับเรื่องของ “การลงทุนที่ไม่น่าเชื่อถือ” ให้ผลตอบแทนที่ Too Good to be True ดีเกินหลักความเป็นจริง

แชร์ลูกโซ่อื่นๆในสมัยนี้คงไม่ได้ผลกับคน Gen X (ที่ไม่โลภ) ซักเท่าไหร่

ฉะนั้น การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนจากการซื้อหุ้นที่จะเข้าตลาด NASDAQ ของสหรัฐฯ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า แล้วได้ผลตอบแทน 400% แต่เอามาขายคนไทยทั่วไปอย่างง่ายดาย (ตัวอย่างสมมติไม่ได้อ้างอิงใคร) ก็ดูเป็นเรื่อเพ้อฝันเกินไปสำหรับพวกเขา

แต่ไม่ว่าจะเจนไหนก็ตาม ถ้าโลภมาก ก็เจ๊งได้หมดทุกคนนั่นแหละ
สุดท้ายแล้ว... Gen Y คนไหนสนใจอยากจะนำนิสัยการเงินเหล่านี้ไปปรับใช้        ผมว่าก็เป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะประสบการณ์ชีวิตของคน Gen X บางเรื่องก็หล่อหลอมให้พวกเขามีนิสัยเหล่านี้ขึ้นมา

บางที Gen Y อย่างเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอเรื่องราวต่างๆในยุคนั้น ฉะนั้น เรื่องที่คนรุ่นก่อนหน้าชี้แนะให้ เราก็ลองคิดและตกผลึกเอาเองว่า มันจะเป็นเรื่องดีกับตัวเองมากน้อยแค่ไหน

ด้วยความหวังดี