สวัสดีครับนักลงทุนท่าน กลับมาพบกันอีกแล้วนะครับ กับผม “หมอนัท” ในคลินิกกองทุนแห่งนี้ครับ

ก่อนอื่นเลยผมอยากจะถามว่า เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับการลงทุนในปีนี้ ? ซึ่งผมคิดว่าเป็นอีกปีที่ ค่อนข้างยาก แต่ก็มีความท้าทายอยู่ไม่น้อย เพราะว่ามีความผันผวนเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะโรคระบาด COVID-19 ที่ส่งกระทบต่อการลงทุนในหลายด้าน หลายมุมเลยทีเดียวครับ

ซึ่งในช่วงแรกของการระบาดนั้น ราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ต่างก็ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากนักลงทุนเองก็ไม่แน่ใจว่าการระบาดจะกระทบต่อการลงทุนอย่างไรบ้าง แต่พอ COVID-19 ระบาดไปทั่วโลกไม่นานเท่าไหร่นัก นักลงทุนก็เริ่มที่จะประเมินผลกระทบของโรค COVID-19 ใหม่ได้แล้วว่าจะส่งผลต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มไหน หรือ สินทรัพย์ใด รวมถึงการทำ QE ของนานาประเทศก็ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาเก็งกำไรกับสินทรัพย์ต่าง ๆ กันมากขึ้นครับ

ส่งผลให้ราคาหุ้น หรือ สินทรัพย์บางกลุ่มก็เติบโตกลับขึ้นมาได้ แถมเติบโตขึ้นสูงมากกว่าเดิมเสียอีก และต้องยอมรับว่าปีนี้ก็เป็นอีกปีที่การลงทุนนั้นยังคงเติบโตได้ดี และดีกว่าหลายปีที่ผ่านมาเสียด้วยครับ เรียกได้ว่า เป็นปีที่มีวิกฤตเกิดขึ้นอย่างรุนแรงทั่วโลก แต่ก็มีโอกาสอยู่มากมายเลยทีเดียวครับ

แน่นอนว่าพอพูดถึง “โอกาส” ของการลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดีในปีนี้คงหนีไม่พ้น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงมาก และก็ส่งผลให้กองทุนกลุ่มเทคโนโลยีเองก็เติบโตขึ้นมาได้

และกองทุนที่ทำผลงานได้โดดเด่นมาก เรียกได้ว่าเป็นพระเอกของงานเลี้ยง ดูหล่อท่ามกลางกองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีด้วยกัน ก็คือ “กองทุน ONE-UGG” นั่นเองครับ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 78.97% (นับตั้งแต่วัน ที่ 1 มกราคม 2563  - 3 ธันวาคม 2563) เลยทีเดียวครับ

ซึ่งในวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกองทุน ONE-UGG ให้มากขึ้นกว่าเดิม และไปทราบแนวคิดการลงทุนของกองทุนนี้กัน เผื่อว่านักลงทุนท่านไหนที่กำลังเล็ง ๆ กองทุนนี้อยู่จะได้มีข้อมูลในการตัดสินใจที่มากขึ้นครับ

ก่อนอื่นเลยครับ กองทุน ONE-UGG นี้ ลงทุนในกองทุนหลัก หรือ Master fund ชื่อ Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund (LTGG) ครับ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่เชิงว่าจะเป็นกองทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจกันครับ แต่กองทุนนี้ ในช่วงเวลาแบบนี้ ได้ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงเท่านั้นเองครับ

ซึ่งพอเรามาดูหุ้นในพอร์ตการลงทุนของกองทุนนี้แล้ว

ทำไมกองทุนนี้ถึงมีสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีเสียเป็นส่วนใหญ่กันละ ?

คำตอบก็คือ กองทุนนี้เน้นลงทุนในบริษัททั่วโลกที่มีศักยภาพในการเติบโตโดดเด่น และ มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูงมาก พอเป็นแบบนี้ ในช่วงนี้ที่นวัตกรรมใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไปจากการระบาดของโรค COVID-19 รวมถึง ผลของการเลือกตั้งสหรัฐ ฯ ที่มี ประธานาธิบดีคนใหม่ที่ส่งเสริมพลังงานสะอาดมากขึ้น ก็ทำให้หุ้นบางกลุ่มมีแนวโน้มเติบโตขึ้นได้มาก ดังนั้นจึงเป็นที่มาว่าทำไมกองทุนนี้ถึงได้เติบโตได้สูงมากขนาดนี้ครับ

ซึ่งกองทุนหลักจะลงทุนด้วยหลักการดังนี้ครับ

ทางทีมงานของกองทุนจะทำการหาบริษัทที่มีการเติบโต และเคลื่อนไหวไปตามกระแสนิยมของโลก และบางครั้งก็มีการจ้างนักวิเคราะห์แบบ Outsource เพื่อไปเจาะรายละเอียดในบางอุตสาหกรรม เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมให้กับทีมงานเพื่อคัดเลือกตามแนวทางของกองทุนอีกทีครับ และดูในรายละเอียดดังต่อไปนี้ครับ

1. ดูแนวโน้มของบริษัทในอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทในอีก 5 ปีถัดไป และ แนวโน้มของยอดขายได้อีก 2 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า

2. แนวโน้มความสามารถในการสร้างรายได้เหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่นทำไมลูกค้าถึงเยอะ ถึงชอบบริษัท ความสามารถในการแข่งขัน และรวมไปถึงแม้กระทั่งวัฒนธรรมองค์กรอีกด้วย

3. ความมั่นคงทางการเงิน ว่าจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และมีโอกาสเติบโตได้อีกมากน้อยแค่ไหน

4. วิสัยทัศน์ขององค์กร ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า มีความสำคัญอย่างมากในยุคนี้ ที่จะนำให้บริษัทเติบโตมากขึ้น หรือ ล้มหายตายไปจากโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้

5. ความเหมาะสมของราคาหุ้น โดยที่พยายามตอบคำถามให้ได้ว่าทำไมตลาดถึงยังไม่สะท้อนถึงมูลค่าบริษัทที่แท้จริง

ซึ่งกองทุนนี้จะลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกประมาณ 30-60 บริษัท  โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นหุ้นของประเทศไหน ภูมิภาคใด และ ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมครับ

ดังนั้นหากเราจะต้องการลงทุนในกองทุนนี้ ผมคิดว่าลงทุนในระยะยาว ๆ ได้อย่างสบายใจ สมกับชื่อ Long Term Global Growth Fund เนื่องจากพื้นฐานความคิด หรือ แนวทางการลงทุนของกองทุนนี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งถ้าหากในอนาคตมีอะไรใหม่ ๆ มาทดแทนธีมเทคโนโลยี หรือ บริษัทที่มีนวัตกรรมใหม่ รวมถึง Business Model ดี ๆ แล้วละก็ กองทุนนี้ก็สามารถที่จะเข้าไปลงทุนได้อย่างต่อเนื่องครับ

โดยสรุปคือ กองทุนนี้จะเน้นลงทุนกับหุ้นที่มีขนาดใหญ่ แต่ก็มีแนวโน้มการเติบโตสูง เน้นลงทุนกับหุ้นที่มี Innovative หรือ หุ้นที่มีความแข็งแรงในการดำเนินธุรกิจมากกว่า หุ้นเทคโนโลยีทั่วไปนั่นเองครับ

ซึ่งผมว่ามีความน่าสนใจครับ หากแนวทางของกองทุนคือ หาธุรกิจที่เติบโตได้เป็น 2 เท่าใน 5 ปีข้างหน้าแบบนี้ อนาคตข้างหน้ากองนี้ก็น่าจะเติบโตขึ้นได้ตามไปด้วย เพราะว่าพื้นฐานของหุ้นคือ ราคาหุ้นมักจะปรับตัวสูงขึ้นตามยอดขาย และ กำไรของบริษัทในระยะยาว ถ้าเราลงทุนเสียตั้งแต่วันนี้ ก็เหมือนกับเรากำลังสะสมหุ้น หรือบริษัทที่ดีไว้นั่นเองครับ

พอมีแนวทางการเลือกหุ้นที่ดี ก็ทำให้ได้หุ้นที่เติบโตมาก ๆ ครับ เช่นหุ้นของ Tesla ซึ่งถ้าหากเราจำกันได้ดีว่าเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว มีแต่ข่าวไม่ดี ผลิตรถไม่ทันบ้าง กำลังจะเจ๊งบ้าง แต่พอตัวบริษัทได้พิสูจน์แล้วว่าคนชอบสินค้า เพราะด้วยนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการผลิตแบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้าต่าง ๆ  รวมถึงบริษัทเองก็ทำได้ตามที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับสถานการณ์ของการส่งเสริมพลังงานสะอาดก็มีมากขึ้น ทำให้ปีนี้หุ้น Tesla กลับทำกำไรได้มากที่สุด รวมถึงหุ้นอื่น ๆ ที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนก็เติบโตไปพร้อม ๆ กัน

ดังนั้นเมื่อมีหลักการที่ถูกต้องของผู้จัดการกองทุน และกระบวนการคัดเลือกการลงทุนที่ดี รวมถึงการมองไปที่แนวโน้มในอนาคตก็ทำให้กองทุนนี้ประสบความสำเร็จได้ดีในปีนี้ และยังคงมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องครับ

อีกอย่างที่อยากเพิ่มเติมให้ทราบกันนะครับ ทางบลจ.วรรณเองร่วมลงทุนกับ Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund (LTGG) มาค่อนข้างยาวนาน เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแรกของไทยเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่ร่วมลงทุนกันมายาวนานนั้น ข้อดีก็คือ บลจ.วรรณรู้จักสไตล์การลงทุนของ Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund (LTGG) เป็นอย่างดี  เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทกันเลยหล่ะครับ 

ผมคิดว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้แหละครับ คือจุดเด่นต่าง ๆ ของกองทุน ONE-UGG ที่เปิดมา 4 ปีแล้ว และหากย้อนไปก่อนหน้านี้ กองทุน ONE-UGG ไม่ได้เป็นกลุ่มยอดนิยมหรือกองทุนตัว Top มาตั้งแต่แรก แต่ทางบลจ.วรรณก็กล้าที่ฟันว่าสิ่งที่เลือกมาแล้วนั้น ดีอย่างแน่นอนในอนาคต  เรียกได้ว่าเส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยครับ ต้องใช้ความอดทน และต้องพิสูจน์ให้นักลงทุนได้เห็นถึงการกล้าตัดสินใจของทางบลจ.เอง ในการคัดเลือกพันธมิตร คัดสรร กลุ่มกองทุนเพื่อให้นักลงทุนได้ลงทุนกันอย่างปัจจุบัน  ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ถือว่าดีจริงๆ อย่างที่ทาง บลจ.วรรณกล่าวเอาไว้ด้วย

อีกหนึ่งเหตุผลคือ ผมคิดว่าเนื่องจากทาง บลจ.วรรณ นั้นไม่ใช่ บลจ.จากกลุ่มของธนาคารพาณิชย์ทั่วไป เลยต้องการที่จะหาอะไรที่แตกต่างมาให้นักลงทุนนั่นเองครับ บลจ.วรรณ เลยนำกองทุนนี้ มาให้นักลงทุนชาวไทยได้ลงทุนกัน เรียกได้ว่า เป็นการมองอะไรออกนอกกรอบที่ประสบความสำเร็จ และผมว่า นี่เป็นสิ่งที่บลจ.วรรณ ตอกย้ำจุดยืนของบริษัทมาโดยตลอด

ซึ่งถ้านักลงทุนอยากจะซื้อกองแบบนี้ที่มีความแตกต่าง ก็คงต้องซื้อที่ บลจ.วรรณ เท่านั้นครับ และผมต้องบอกตรง ๆ ว่า บลจ.วรรณ มีกองทุนที่น่าสนใจอีกมากมาย บางกองทุนก็สร้างผลตอบแทนในปีนี้ได้ดีกว่ากองทุน ONE-UGG อยู่ด้วยนะครับ เช่นกองทุน ONE-GECOM ที่สร้างผลตอบแทนได้ถึง 95.25% (นับตั้งแต่วัน ที่ 1 มกราคม 2563  - 3 ธันวาคม 2563)

แหม...บลจ.นี้ช่างแต่หาของดี ๆ แปลก ๆ มาให้นักลงทุนได้ตลอดเวลาเลยครับ แต่ก็น่าเสียดายครับ หน้ากระดาษหมดเสียก่อน เอาไว้คราวหน้าผมจะมาเล่ากองทุนจากบลจ.วรรณ ให้ฟังกันอีกนะครับ

แต่วันนี้ผมคงต้องลาไปก่อน สวัสดีครับ

บทความนี้เป็น Advertorial