ธุรกิจเกี่ยวกับการทำความสะอาด อาจเป็นหนึ่งในธุรกิจที่หลายคนไม่ได้นึกถึงนัก เพราะส่วนใหญ่มักจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงเสียเท่าไหร่

แต่หลังจากเกิดสถานการณ์ COVID-19 ที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก กระแสของสุขอนามัยและการรักษาความสะอาดก็เริ่มกลับมาตื่นตัวอีกครั้งด้วยเช่นกัน เห็นได้จากตามร้านอาหารหรือสถานที่หลายแห่ง มีมาตรการรักษาความสะอาดที่เข้มขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้งการทำความสะอาดที่มากกว่าปกติ หรือเจลแอลกอฮอล์ที่มีให้บริการทุกหนแห่ง

ด้วยเหตุนี้เอง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการทำความสะอาดและสุขอนามัย ไล่ตั้งแต่สินค้าทางการแพทย์ตรง ๆ อย่างหน้ากากอนามัย ไปจนถึงสินค้าอื่น ๆ ทั้งน้ำยาทำความสะอาดพื้น น้ำยาล้างจาน ฯลฯ จึงได้รับประโยชน์โดยตรงจากกระแสของโลกที่เปลี่ยนไปสู่มาตรฐานแบบ New Normal

และนั่นรวมถึง PRAPAT หรือ บริษัท พีรพัฒน์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ที่กำลังจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai เดือนตุลาคมนี้

PRAPAT คือบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีน้ำยาทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2531 ธุรกิจหลักของบริษัทจะมาจากสองส่วน คือธุรกิจขายสินค้า และธุรกิจการให้บริการ

ธุรกิจขายสินค้า มาจากผลิตภัณฑ์ทั้งในกลุ่มซักรีด ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ผลิตภัณฑ์ด้านครัว ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น ผลิตภัณฑ์สระว่ายน้ำ ผลิตภัณฑ์ครัวเรือน และผลิตภัณฑ์เครื่องทำน้ำร้อนประหยัดพลังงาน

ส่วนธุรกิจเกี่ยวกับให้บริการ มาจากธุรกิจบริการหลังการขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับครัว และเครื่องทำน้ำร้อนประหยัดพลังงาน รวมถึงธุรกิจรับทำความสะอาดสระว่ายน้ำด้วย

กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าธุรกิจด้วยกันที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญมาคอยดูแลความสะอาดของผลิตภัณฑ์หรือสถานที่ กลุ่มลูกค้ามีทั้งโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหารต่าง ๆ โรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงโรงพยาบาล ด้วยความสามารถและประสบการณ์อันยาวนาน ทำให้ PRAPAT เป็นบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจจากหลายต่อหลายธุรกิจ และกลายเป็นบริษัทที่มีรายได้เกิน 1,000 ล้านบาทไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา พร้อมกับกำไรสุทธิกว่า 51.60 ล้านบาท

งบการเงิน PRAPAT

ปี 2561

รายได้ 934.40 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 36.64 ล้านบาท

ปี 2562

รายได้ 1,003.83 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 51.60 ล้านบาท

งวด 6 เดือน ปี 2562

รายได้ 480.79 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 15.90 ล้านบาท

งวด 6 เดือน ปี 2563

รายได้ 425.60 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 15.23 ล้านบาท

จากรายได้รวมทั้งหมด PRAPAT มีรายได้หลักประมาณ 80% มาจากธุรกิจขายสินค้า และอีก 20% มาจากธุรกิจบริการ โดยสินค้าที่ขายดีคือกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักรีด และกลุ่มผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อเป็นหลัก

และหากแบ่งตามกลุ่มลูกค้า จะมาจากกลุ่มลูกค้าหลักสี่กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ โรงแรมและรีสอร์ท โรงงานอุตสาหกรรม ร้านอาหาร และผ่านตัวแทนจำหน่าย

หากมองดูคร่าว ๆ PRAPAT อาจได้รับผลกระทบอยู่บ้างจากสถานการณ์ COVID-19 เพราะลูกค้าส่วนหนึ่งของบริษัทคือกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ท และในช่วงที่ผ่านมา โรงแรมและรีสอร์ทหลายแห่งต่างก็เงียบเหงาจนถึงขั้นปิดตัวเสียด้วยซ้ำ ย่อมทำให้ PRAPAT เสียรายได้ในส่วนนี้แบบยากที่จะหลีกเลี่ยง

แต่ถ้าวิเคราะห์จากงบการเงินในรอบ 6 เดือนล่าสุดของปี 2563 เทียบกับปี 2562 รายได้อาจลดลงก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่ยากแก่การฟื้นตัวนัก อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า PRAPAT มีกลุ่มลูกค้าอื่น ๆ ที่พร้อมจะซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทอยู่ นั่นก็คือลูกค้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมและร้านอาหาร

ส่วนกลุ่มลูกค้าโรงแรมและรีสอร์ท แม้สถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาจะไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นว่าโรงแรมและรีสอร์ททุกแห่งจะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เพราะยังมีบางแห่งที่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ด้วยมาตรฐานแบบ New Normal และมีนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วยกันยังเที่ยวอยู่ นั่นแปลว่าธุรกิจท่องเที่ยวยังไม่ถึงกับดับสนิทเสียทีเดียว อีกทั้งมาตรฐานแบบ New Normal นี้เองที่อาจทำให้ลูกค้าสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของ PRAPAT มากขึ้นด้วยซ้ำไป เนื่องจากความเข้มงวดในการรักษาความสะอาดที่เพิ่มขึ้น

อีกทั้งภาครัฐบาลก็พยายามกระตุ้นการท่องเที่ยวให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด ผ่านมาตรการอย่าง “เราเที่ยวด้วยกัน” หรือการเตรียมแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้สามารถเที่ยวได้อย่างปลอดภัยที่สุด ถ้าภาคการท่องเที่ยวสามารถกลับมาได้สักครึ่งหนึ่งของสภาวะปกติ มีโอกาสสูงทีเดียวที่ PRAPAT จะได้รับประโยชน์จากโรงแรม รีสอร์ท หรือร้านอาหารที่กลับมาเปิดตามปกติ

และถึงแม้ภาคธุรกิจหลาย ๆ ส่วนจะกลับมาเปิดดำเนินการได้เหมือนช่วงก่อน COVID-19 แต่มาตรฐานการใช้ชีวิตแบบ New Normal คงกลายเป็นมาตรฐานใหม่สมชื่อสำหรับทุกธุรกิจในประเทศไทยไปแล้ว จุดนั้นเองที่ธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับความสะอาดหรือสุขอนามัยย่อมเติบโตไปพร้อมกับเทรนด์ใหม่นี้ และแน่นอน รวมถึง PRAPAT ด้วยเช่นกัน

สำหรับหุ้น PRAPAT จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 20 ตุลาคม 2563 โดยเปิดให้จองซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 1.50 บาท จำนวนที่เสนอขายทั้งหมดคือ 100 ล้านหุ้น ผู้ลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุนได้ที่เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เลย

ลงทุนศาสตร์

บทความนี้เป็น Advertorial