บทความนี้เป็นบทความออมหุ้นอันที่ 4 นะครับ

ตอนที่แล้วเล่าให้ฟังถึงพอร์ตที่เน่าตายซากจากการเล่นเก็งกำไร 

คุณเชื่อไหมครับว่าเวลาที่ชีวิตเราเลวร้ายขึ้นมาเนี่ย

มันจะเลวร้ายในทุกๆเรื่องเลยล่ะ แย่ๆๆๆ/

อย่างของผมนะช่วงนั้นมันเป็นอะไรที่เคราะห์ซ้ำกระหน่ำซ้อน ถ้าจำไม่ผิดอายุ 24-25 ละมั้ง

(อย่าถามอายุตอนนี้ ฮ่าๆ)

1. หุ้นตก ขาดทุน สะบั้นหั่นแหลก (เงินที่ถัวไปๆๆ มันหมดไปเรียบร้อยแล้ว... บนดอย)

2. เลิกกับแฟน อยู่ๆก็มาบอกว่าเธอดีเกินไป (พูดงี้ แอบมีแฟนใหม่อยู่แล้วทั้งนั้นอ่ะ เชื่อดิ ฮาๆ)

3. ทำงานไม่ค่อยได้เรื่อง ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง (สงสัยแอบเล่นหุ้นและเวิ่นเว้อเยอะไป)

แต่เอาเถอะ เป็นว่าเวลานั้นซวยกับทุกสิ่งมากๆ แต่ในความซวยมันก็มีความโชคดีอยู่เหมือนกันนะ

เพราะการที่ผมได้ติดดอยแบบ -80% เนี่ยมันเป็นอะไรที่ทำให้ชีวิตในวัยทำงานตอนต้นรู้ว่า

"การลงทุนมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แค่เอาเงินไปลง ขายแล้วก็ได้กำไร มันมีอะไรมากกว่านั้น"

ตอนช่วงที่ผมกำลังอยู่ในช่วงวิกฤตการลงทุนนะ ไม่รู้จะแก้พอร์ตยังไง 

ผมเลยใช้วิธีการที่เด็ดขายที่สุดในชีวิตคือ

"ปิดจอแม่มเลย ไม่ดูแล้ว"

ไม่ได้พูดเล่นนะ ปิดจอจริงๆ มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนั้น ผมเองก็ว่าจะเปิดพอร์ตหุ้นใหม่

บังเอิญได้คุยกับหัวหน้าเก่าของหัวหน้าที่ทำงาน แกเคยทำงานด้านธุรกิจตลาดทุนอยู่

แกก็แนะนำว่า "ลองมาเปิดพอร์ตออมหุ้นไหม" ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติง่ายๆคือ

1. เลือกหุ้นที่ดี (ซึ่งแรกๆผมก็ไม่เข้าใจนะครับว่าต้องเลือกยังไง จนผมพัฒนาวิธีการผมขึ้นมา) 

2. กำหนดเงินแต่ละเดือน (อันนี้ผมมาพัฒนาเป็น Model การบริหารเงินเพื่อการลงทุนหลังจากนั้น)

3. สร้างวินัยการลงทุนในแต่ละเดือน (อันนี้ยากสุดสำหรับนักลงทุนนะครับ ต้องทนรวย ทนขาดทุนเป็น)

ไอเดียนี้...

แรกๆผมก็ไม่เข้าใจนะว่าทำแล้วมันจะได้อะไร ถ้าคุณเดินไปที่กองทุนรวมแล้วเขาจะอธิบายว่า

กำหนดเงินลงทุนเท่ากันทุกเดือนนะค่ะ....  

หุ้นในแต่ละเดือนราคาไม่เท่ากัน แต่เฉลี่ยเราอาจจะได้หน่วยเยอะกว่าซื้อครั้งเดียว

คำถามผมคือ.... แล้วทำไมเราไม่ซื้อเยอะๆตอนต่ำๆล่ะ?

ซื้อเฉลี่ยทำไม? ตอนนั้นถามพนักงานก็ไม่มีใครทราบเหตุผล

อาจจะเป็นของใหม่อยู่ก็ได้ แล้วถ้าพนักงานคนไหนอธิบายว่า

"เราจะได้ราคาหน่วยลงทุนที่ไม่ต่ำเกินไปและไม่สูงเกินไป"

อันนี้ยิ่งทำให้ผม งง เลยว่าลงทุนเฉลี่ยทำไม หามูลค่าต่ำแล้วเข้าทีเดียวดีกว่าตั้งเยอะ

แต่พอผมเข้ามาลงทุนแบบ DCA อย่างเต็มตัว ปุ๊ป เดือนแรก ผมได้หุ้นมา แล้วมันก็เกิดความผันผวนขึ้น

เช่น ซื้อมาราคาเฉลี่ยที่ 10 บาท แต่ละวันหุ้นขึ้นลง 9.90 - 10.10 - 9.50 - 10.20 สลับไปสลับมา

ผมก็มองอยู่เฉยจนผ่านไปอีกเดือนหนึ่ง...

หุ้นมันราคาลงมาจาก 10 บาท เหลือ 9.80 ผมก็ได้ซื้อในราคาที่ต่ำกว่า

พอผ่านไปอีกเดือนหนึ่ง ผมก็อาจจะได้ซื้อที่ในราคา 10 บาทอีกครั้ง พออีกเดือนได้ซื้อที่ 10.30 

สิ่งที่ผมเจอความคิดแรกๆก็คือ...

อ่อ! อย่างน้อยผมก็ยืดเวลาในการถัวหุ้นระยะสั้นออกไปเนอะ

สมัยก่อน ผมอาจจะได้ซื้อที่ 10 บาท 9.80 บาท 10.30 บาท

ภายในวันเดียวก็ได้ ซื้อจนเงินหมดเลย!!! ดอยด้วย

แต่ลักษณะการลงทุนรายเดือนมันทำให้ผมมีเงินเหลือมากขึ้น ได้ซื้อในราคาเดิม แต่จัดการการเงินได้มากขึ้น

เอาเป็นว่าถ้าจะถัวก็มีเงินในการถัวอย่างเป็นระบบนะ...

แต่ต้องอย่าลืมว่า... 

DCA ไม่ใช่การถัวหุ้นที่เล่นกับราคาเพื่อให้เรามีต้นทุนที่ต่ำลงจะได้สร้างกำไรในอนาคตได้

DCA เป็นวิธีการที่เราสะสมหุ้นโดยที่ไม่สนใจราคาเลยต่างหาก ความสำคัญมันกลับอยู่ที่การเลือกหุ้น

แต่การสร้างระบบการลงทุนอย่างเป็นวินัยนี่แหระคือ ขั้นตอนที่จะทำให้เราไปสู่ความสำเร็จทางการเงิน

พอร์ตออมหุ้นผมก็ออมไปเรื่อยๆ ส่วนพอร์ตเน่าตากซากก็ปล่อยมันไป พอมาถึงระยะหนึ่งผมก็ศึกษามากขึ้น

แล้วทำการสลับตัวหุ้นมาเป็นหุ้นพื้นฐานดีให้หมด แล้วก็ปิดมันแบบฝังลงโลงไว้ไม่เปิดอีกซักระยะ (ทำใจไม่ได้)

ส่วนแฟนที่เลิกไปก็ช่างมันเห๊อ..... เพราะถึงตอนนี้ก็ไม่ได้คุยกันแล้ว ฮาๆๆ

(ทำใจกับทุกสิ่งมากๆตอนนั้น เสียใจแต่ก็แคร์ แงงงงงงง) 

ผ่านมาอีกระยะหนึ่ง.....

และแล้วผมก็เริ่มทำ DCA ได้ผลขึ้นมาแล้ว.......

เขียวหมดเลย เย่ๆๆ (พอร์ตนี้พอร์ตออมหุ้นของโบรกเจ้าหนึ่ง)

โชคดีที่ Capture ไว้หลายปีก่อน เป็นช่วงยุคแรกๆของการลงทุนแบบ DCA เลย

ดีใจม๊ากกกกก ที่เราได้ +100% ขึ้น ไม่บอกหรอกว่าหุ้นอะไร

แต่ลองทายได้ใน Comment ข้างล่างบทความ ฮาๆ

เชื่อว่าแฟนพันธ์แท้ของหนังสือ ออมหุ้น ออมความสุข ของผมใน www.aomstock.com จะรู้ ฮาๆ

เนี่ยมีคนตั้งคำถามกับผมนะว่า ถ้าผมไม่ลงทุนในช่วง วิกฤตเศรษฐกิจ ผมจะได้กำไรเยอะขนาดนี้ไหม

ผมก็อยากจะบอกจริงๆนะว่า ตอนที่ผมลงทุนในช่วงนั้นเพราะผม "เชื่อ" ในสิ่งที่คนอื่นอาจจะไม่ได้เชื่อ

เพื่อนๆผมหลายคนบอกว่า "เห้ยยย บ้าเปล่า มาลงทุนในช่วงวิกฤต หุ้นลงขาดทุนๆๆๆๆๆ พอดี"

มันจริงของเขานะครับ หุ้นบางตัวในพอร์ตผมลงทุนวัน ลงทุนเดือน ลงเป็นปีๆ และผมก็เก็บไปเรื่อยๆ

สุดท้ายแล้วเป็นไงล่ะ.... มันก็กลับมาเติบโตตามวิถีที่มันควรจะเป็น หุ้นที่มันโต ราคามันก็ต้องขึ้นสิ

ตอนนั้นไม่มีใครซื้อกันเลย มีแต่ Wait and See - Wait and See - Then ต่อมา Buy at Doi  (แง้ว)

เพื่อนผมเงียบกันหมด ไม่มีใครลงทุนเลย อิเกจิก็ไม่ลงทุน เนี่ยก็ไม่มีใครเก็บหุ้นถูกเองอ่ะ กลัวลงไปอีก

พอมันขึ้นในระยะต่อมากลายเป็นว่าผมโดนแซวว่า ฟลุ๊ก โชคดีซื้อตอนวิกฤตซะงั้นอ่ะ (ก็ไม่ซื้อกันเองนิหว่า)

แล้วด้วยจำนวนหุ้นที่มหาศาลช่วงเก็บตอนถูก เวลามันพลักกลับขึ้นมา นี่มันกำไรมหาศาลเลยนะ

ผมยังจำราคาที่คนไม่กล้าซื้อช่วงนั้นได้เลย.... (ผมยังจำได้อยู่คร่าวๆนะว่าผมได้ซื้ออะไรบ้าง)

ผมเคยซื้อ BGH ที่แถวๆ 16-18  บาท (ปัจจุบัน Par ใหม่ คือ 1.8 บาท) 

KBANK 38 บาท  MINT 9 บาท HMPRO 3-4 บาทเมื่อหลายชาติก่อนปันผลหุ้นอีกเป็น 10 รอบ

CPALL 13 บาท (แล้วไปถึงแถวๆ 70-80 บาทก่อนปันผลหุ้นลงมาราคาใกล้ๆปัจจุบัน