กฎบริษัทเขียนอายุเกษียณไว้ 55 หรือ 60 ก็ต้องตามนั้น.. ไม่ใช่เหรอ?

ตื่นค่ะ! นั่นตัวอักษรค่ะ ความจริงยังไงมันอีกเรื่อง!!

มาดามฟินนี่ขอเริ่มจากหลักความจริงที่ว่า..

นายจ้างเค้าจะจ้างเรา.. ตราบเท่าที่..ธุรกิจยังไปได้ และเราทำงานคุ้มค่าจ้

ธุรกิจยังไปได้หรือไม่ อันนี้ก็ดูกันไปปีต่อปี

เทคโนโลยี เศรษฐกิจมีผล สินค้าหรือบริการบางอย่างหายไปได้ตามกาลเวลา...เธอก็เห็น

(ล่าสุด นิตยสารอิมเมจและ Cosmopolitan ฉบับภาษาไทยเพิ่งปิดตัว เลิกจ้างพนักงานกันไป)

ส่วนเรื่องทำงานคุ้มค่าจ้างรึเปล่า..  มาดามฟินนี่อยากให้เธอลองดูตัวเลขนี้เล่นๆ แล้วมาคิดไปด้วยกัน

จากรูปข้างบน มีประเด็นชวนคิด ดังนี้

1. ถ้าเราไม่ได้ให้คุณค่าในงานเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทำงานเช้าชามเย็นชาม ราสมควรจะได้เงินเดือนขึ้นต่อเนื่องทุกปีมั้ย อาจจะไม่นะ เธอลองคิดด้วยหัวใจของนายจ้างดู ใครเค้าจะจ่ายแพงกว่าทำไม ใช่ป่ะ?

2. จุดน่าห่วงในความคิดเห็นของมาดามฟินนี่ คือ ตอนอายุ 40

ทำไมต้อง 40? เธอเห็นจากรูปข้างบนมั้ย ไฮไลท์สีเหลืองตรงปีที่ 16

ว่าถ้าเงินเดือนขึ้นต่อเนื่อง พอตอนนั้น มันจะไปได้ถึง

3 เท่า ของเด็กจบใหม่ ในบางสาขาอาชีพไปได้เกิน 10 เท่า

คำถามคือ...

เธอตอนอายุ 40 จะทำงานที่ให้คุณค่า 3-10 เท่า ของเด็กจบใหม่รึเปล่า?

ถ้าใช่ ต่างกันเห็นๆ... โอเค เธออาจปลอดภัย

แต่ถ้าไม่แตกต่างมาก..งั้นเค้าคงเริ่มคิดแล้วล่ะว่า

จ้างเด็กใหม่ 3 คน ดีกว่ามั้ย?

หรือจ้างคนที่ประสบการณ์น้อยกว่าเราสัก 5 ปี แต่ทำงานได้เท่าเราเลย?

สถานะเธอเริ่มไม่โอเคแน่ๆ ละทีนี้!!!  (>__<")

หลายคนยิ่งแก่ยิ่งดียิ่งเก่ง แต่ก็อีกหลายคนที่แก่คือแค่มีอายุเพิ่ม

นี่แหละย่ะ.. ความเสี่ยงที่มาดามฟินนี่อยากชี้ให้เธอเห็น!

.................................................

ทีนี้ยังไงต่อ..เมื่อเธอไม่โอเค

ถ้านายจ้างคิดแล้วไม่คุ้ม อาจมีการพิจารณาค่ะ.. เลิกจ้างดีมั้ย ยอมจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายให้เธอเลย

หลายคนอาจคิดว่านี่ถูกหวย เพราะถ้าทำงานมา 10 ปี ได้ค่าชดเชย 10 เดือน!!!

แต่..อย่าเพิ่งรีบดีใจไป ดูตัวเลขที่มาดามฟินนี่ทำมาก่อน แล้วคิดต่อกันอีกนิด

เธอเห็นมั้ย..

ยิ่งอยู่นาน ค่าชดเชยที่ต้องจ่ายยิ่งเยอะ เพราะฐานเงินเดือนมันเยอะ

ดังนั้น จะให้ดี จงไปซะตั้งแต่อายุ 40 เหอะ... ประหยัด!!!

ถึงตรงนี้หลายคนร้องออกมาดังๆ ว่า Oh My God = คุณพระช่วย

มันเป็นไปได้นะคะ ไม่ได้พูดเล่นๆ

.................................

ปัญหาของการต้องเกษียณโดยไม่ได้ตั้งใจ

  • ไม่มีใครรู้ว่าเราต้องออกตอนอายุเท่าไหร่?
  • พอออกแล้ว จะใช้เวลานานมั้ยที่จะหางานใหม่? อาจเกิน 10 เดือนนะ
  • หางานได้ใหม่ เงินเดือนอาจน้อยกว่าเดิม แต่ภาระเท่าเดิม
  • ช่วงหางานนั้น ภาระค่าใช้จ่ายทุกเดือนจะทำยังไง?
  • 10 เดือน คิดดีดีๆ คือน้อยกว่า 1 ปี แล้วชีวิตที่เหลือหลังจากนั้น จะอยู่ยังไง???

คนคิดกฎหมายเค้าห่วงตรงนี้เค้าถึงคิดเผื่อ ใส่ค่าชดเชยไว้ให้เรา คำถามคือ..แล้วเราล่ะ ห่วงตัวเองมั่งรึเปล่า??? ว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดกับเราได้

นับวันโอกาสจะมากขึ้น เพราะเครื่องจักร, ซอฟท์แวร์ ทำงานแทนคนได้มากขึ้น การเปิดเสรี AEC ซึ่งจะมีคนไหลเข้าออก รวมถึงโอกาสโดนแย่งงาน

การอยู่กับปัจจุบันเป็นเรื่องดีแต่คิดถึงอนาคตด้วย..มันดีกว่า

................................

โอเค..ไม่ได้มาขู่ให้เธอกลัวอย่างเดียว แต่มีอะไรดีดีมาฝากด้วย

มาดามฟินนี่ขอเรียกวิธีนี้ว่า..

สร้างหลักประกัน “ชีวิตแข็งแรง..ไม่กลัวเกษียณ"

ถ้าเธอค่อยๆ สร้าง 4 ข้อนี้ แล้วเธอจะไม่ต้องกังวล นอนขนหัวลุก เพราะ

ถ้าเธอเป็นคนมี 4 อย่างนี้ เธอลดโอกาสเป็นตัวเลือกแรกถ้านายจ้างต้องเอาคนออก

และถึงต้องออก เธอก็ไม่กลัวว่าชีวิตจะไปต่อยังไง..พร้อมยัง?

ขออธิบายเพิ่มเติมทีละข้อ...

1. สร้างฐานะ

ออมเงินต่อเนื่อง อย่างน้อย 10% ของรายได้ทุกเดือน เพื่อให้มีทั้งสำรองฉุกเฉินเท่า 6-8 เท่าของรายได้ต่อเดือน และทั้งออม+ลงทุนเกษียณ และไม่ก่อหนี้เกินตัว ส่วนถ้าได้รับค่าชดเชยมา อันนั้นถือเป็นโบนัสแท้จริง อนุญาตให้ดีใจได้

2. สร้างคุณค่าให้ตัวเอง

พัฒนาตัวเองให้เป็นคนมีค่าเพิ่มตลอดเวลา ใครรู้จักใครก็ชอบ อยากได้ตัวไปทำงาน ทำให้คุณค่าตัวเธอไล่ตามและแซงเงินเดือนเห็นๆ! สร้างคอนเนคชั่นรู้จักคนไว้เยอะๆ ออกไปทำกิจกรรมหรือไปเรียนอะไรใหม่ๆ เธอรู้มั้ยว่า..

ทั้งงานและโอกาสดีๆ มันมาจาก "คน"
คอนเนคชั่น = ทรัพย์สินอย่างนึง

3. สร้างแหล่งรายได้เพิ่ม

หาอาชีพเสริมที่เธอชอบ ทำได้ดี หรือทั้งสองอย่างยิ่งเลิศ แบ่งเงินออมบางส่วนมาลงทุนสร้างทรัพย์สินที่สร้างเงินสด (cashflow) ให้เธอได้ด้วย อย่าง หุ้นดีที่มีเงินปันผล อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ เขียนหนังสือหรืออะไรที่ได้ค่าลิขสิทธิ์ วันใดที่เธอมีรายได้มากกว่าทางเดียว วันนั้นเธอจะรู้สึกมั่นคง อย่างน้อยก็ทางใจไปเรียบร้อยละ

4. สร้างสุขภาพ

เน้นทั้งกายและใจ กายแข็งแรงเจออะไรตอนไหนก็ไม่หวั่น บุคลิกดีช่วยให้ทำมาหากินคล่อง ไม่เสียค่ายาค่าหมอเยอะ ดูแลและให้เวลาครอบครัวคนรอบตัวเพื่อนฝูง วันใดเรามีปัญหา กำลังใจคือยาที่วิเศษที่สุด

สุดท้ายนะเธอ..มาดามฟินนี่อยากบอกว่า

อย่าฝากชีวิตเราไว้ที่ใคร ควรฝากไว้ในมือตัวเอง

ใช้ชีวิตแบบมีสติที่มองไปข้างหน้า แล้วเธอจะมีวันดีดีได้ทุกวัน โดยไม่หวั่นอนาคต

"มีเงิน ชีวิตดี แฮปปี้" นี่คือคอนเซปท์ของมาดามฟินนี่