วันนี้ aomMONEY INSPIRED ขอนำเสนอเรื่องราวจากชีวิตจริงของ "คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ" หรือที่ทุกคนรู้จักในชื่อ “ศิริวัฒน์แซนด์วิช” อดีตนักลงทุนผู้ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องการลงทุนมาเกือบทั้งชีวิต จนกระทั่งวันหนึ่งวิกฤตปี 2540 หรือต้มยำกุ้งได้พัดผ่านเข้ามาสร้างมรสุมในชีวิต ทุกอย่างตรงหน้าก็พังครืน เหลือเพียงเศษซากของความฝัน กลายเป็นคนมีหนี้ติดตัวเกือบพันล้าน ถูกฟ้องล้มละลาย จนไม่เหลืออะไรติดตัว

สุดท้ายเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวและลูกน้องกว่า 40 ชีวิต คุณศิริวัฒน์ต้องยอมกัดฟันทิ้งศักดิ์ศรีมาทำแซนด์วิชขายริมถนน เพียงชิ้นละ 30 บาท ทั้งโดนเทศกิจชี้หน้าไล่ ทั้งโดนคนดูถูกเหยียดหยาม แต่เขาก็ไม่เคยคิดฆ่าตัวตายแม้แต่ครั้งเดียว

เราลองมาดูกันว่าประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาเกือบ 70 ปี ของ"คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ" ได้ให้ข้อคิดและสอนอะไรกับพวกเราบ้าง ผ่านบทสัมภาษณ์นี้ครับ ..

“...อายุ 48 มีหนี้เกือบพันล้าน เคยกำไรในตลาดหุ้นวันละกว่าสิบล้าน 

ต้องมายืนขายแซนด์วิช ชิ้นละ 30 บาท ข้างถนน ... 

ผมรู้อย่างเดียวว่าผมไม่มีทางไป หลังพิงฝาแล้ว 

รู้อย่างเดียวว่าต้องลุยไปข้างหน้า ไม่ต้องหันดูข้างหลัง เพราะมันไม่มีที่ไปแล้ว...”

คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ 

เจ้าของแบรนด์ศิริวัฒน์แซนด์วิช


อดีตนักเรียนทุนโปรไฟล์ดี จบนอก

  • ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ  : ผมเรียนมัธยมอัสสัมชัญศรีราชามาต่อโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์ในกรุงเทพ และได้รับทุน American Field Service (นักเรียนแลกเปลี่ยนเมริกา) จบมหาวิทยาลัยเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ตอนนั้นผมจบมาอายุ 28 ปี ก็กลับมาทำงานในวงการเงินทุนและหลักทรัพย์ พอทำได้ 2 ปี ผมก็ได้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย เป็นโบรกเกอร์ที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ในขณะนั้น

เผชิญวิกฤตปี 40 หรือต้มยำกุ้ง พลิกชีวิตจากนักลงทุนหุ้นพันล้านสู่หนี้เกือบพันล้าน

  • ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ  : ตั้งแต่ผมเริ่มทำงานตลาดหลักทรัพย์ ผมเคยกำไรวันละหมื่นวันละเป็นล้าน เงินเดือนตอนนั้นผมแค่หมื่นแปด โอ้โห! ผมดีใจมาก ทำไมมันง่ายอย่างนี้ ผมก็เลยคิดว่าออกไปเล่นหุ้นดีกว่ากินเงินเดือนทำไม ลาออกมาเล่นหุ้นให้ลูกค้า เล่นได้แบ่งเปอร์เซ็นต์ ก็ประสบความสำเร็จและผมก็เข้าใจคนเล่นหุ้นทุกคน ผมมีพอร์ตหุ้นก็เป็นร้อยล้าน เงินสดก็มีเป็นร้อยล้าน แต่ก็เอาไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันมาเล่นหุ้นต่อ “มันเป็นเพราะความโลภ ความไม่พอ ความประมาท ความนึกว่าตัวเรานี่แน่ทำอะไรก็สำเร็จหมด” ผมรวยในตลาดหุ้นแล้ว ก็อยากจะสร้างคอนโด แต่ในกรุงเทพฯ คนก็สร้างเยอะแล้ว เลยหนีไปสร้างที่เขาใหญ่เป็นรีสอร์ทขายแพงๆ ผมก็เอากลุ่มลูกค้าที่ผมเลือก Niche market (กลุ่มลูกค้าที่ร่ำรวยเท่านั้น) พอถึงปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้งมา ตลาดหุ้นก็ตกระเนระนาด ผมก็ขาดทุนเยอะ เพราะผมไปเล่นหุ้นแบบกู้เขาเล่น หุ้นก็เจ๊งคอนโดก็ขายไม่ได้ ก็เลยเป็นบุคคลล้มละลายปี 2540 ผมก็เลยต้องมายืนขายแซนด์วิช ทำให้เกิดแบรนด์ศิริวัฒน์แซนด์วิชถึงทุกวันนี้

ทำไมต้องชื่อศิริวัฒน์แซนด์วิช

  • ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ  : ทำไมต้องเป็นชื่อศิริวัฒน์แซนด์วิช เป็นคำถามที่ดีมากนะครับ จริงๆ แล้วตอนนั้นผมจะใช้แบรนด์ภรรยาชื่อบี...บีแซนด์วิช ลูกค้าบอกไม่เอา เอาชื่อศิริวัฒน์แซนด์วิช ผมก็คิดว่ามันเชยศิริวัฒน์แซนด์วิชชื่อมันยาว แต่สุดท้ายก็ต้องใช้ชื่อนี้ โลโก้ของศิริวัฒน์แซนด์วิชก็เป็นรูปเงินบาทลอยตัวกับลูกบอลลูน และข้างล่างก็มีคำว่า IMF ปี 2540 เพื่อเตือนสติผม เตือนความจำผม แต่ผมก็ไม่เคยว่าคิดว่าโลโก้นี้ วันนี้มันจะดังไปทั่วโลก

กลืนเลือดตัวเองยืนขายแซนด์วิชข้างทาง

  • ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ นอกจากไปยืนขายแซนด์วิชที่ข้างถนน ยังต้องหนีตำรวจ หนีเทศกิจ โดนเทศกิจชี้หน้าไล่ ชี้หน้าด่า อะไรพวกเนี้ย คือชีวิตมันลำบากมาก เรายืนข้างๆ คนที่เค้าเป็นรถเข็น เค้าขาย 8 บาท 10 บาท แซนด์วิชเหมือนกัน เราขาย 30 บาท ขายก็ไม่ได้ แบกก็ไม่ไหว 80 ชิ้นแบ่งใส่กล่องกระดาษเอาไว้ข้างๆ อีก 40 ชิ้น มีปัญหาอีกเทศกิจมาไล่อีก คุณวางขายข้างทางต้องไปยกมือไหว้ขอร้านคนอื่น ผมขอฝากไว้ ขายได้แล้วผมจะมาขอเติมเรื่อยๆ มีอยู่วันนึงไปเดินขายที่สำเพ็ง มีคนตะโกนออกมาจากร้าน “มาดูเศรษฐีเดินขายแซนด์วิชเร็ว!” แหม่….ผมมันเหมือนกลืนเลือดตัวเอง แต่ผมไม่หันกลับไปมองไม่อยากรู้ว่าเป็นใคร แต่เสียงนั้นรู้ไหมว่าทำให้คนในละแวกที่ได้ยิน มาช่วยผมซื้อแซนด์วิชผม และก็ขายหมดเกลี้ยง แต่คือตอนนั้นผมยอมรับสภาพ ถอดเนคไท ถอดสูท ยืนขายมันข้างถนนเลย เป็นข่าว สื่อมา ประชาชนมาช่วยผม ช่วงแรกผมขายเหลือ ก็เอาไปให้ลูกน้องกิน ประหยัดเงินไปได้อีกมื้อนึง...เคยกำไรในตลาดหุ้นกว่าสิบล้านแล้วต้องมายืนขายแซนด์วิชข้างถนนชิ้นละ 30 บาท ผมก็บอกกับตัวผมไม่มีทางได้เกิดหรอก ทำเพื่อลูกน้อง ศิริวัฒน์แซนด์วิชจะไม่เกิด ถ้าผมทิ้งลูกน้อง

เป็นจุดต่ำสุดในชีวิตที่ต้องเผชิญ

  • ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ  :  ผมพูดอยู่กับตัวเอง “ทำไมต้องเป็นกู ทำไมต้องเป็นกู” ใช่ก็เป็นกูเนี่ยแหละเพราะกูโลภ จากที่เคยมีแต่คนเอาใจ แล้ววันนึงต้องมาเจอแบบนี้มันท้อนะ แต่ด้วยภาระที่ว่ามีลูกน้องต้องดูแล และครอบครัวตอนนั้นลูกผมยังเล็ก สามคน มีคนเคยถามผมว่า เคยเป็นเศรษฐีแล้วมาเดินขายแซนด์วิชยังไงคุณก็ไม่มีทางฟื้น แล้วทำไมคุณยังอยู่ ทำไมไม่คิดฆ่าตัวตาย ผมบอกว่าผมไม่เคยคิด ลูกผมยังเล็กเพราะการฆ่าตัวตายเนี่ย เราทิ้งปัญหา ภรรยาผมเซ็นค้ำประกันเงินกู้กับผม 500 ล้าน ถ้าผมฆ่าตัวตายภรรยาผมก็ต้องขึ้นศาล ครอบครัวผมในช่วงที่เป็นบุคคลล้มละลาย ลูกผมก็ยังเล็ก ช่วงปิด Summer ผมก็มักจะส่งลูกไปเรียนภาษาอังกฤษที่ต่างประเทศ ก็ต้องมาบอกลูกว่า “ป๊าไม่มีตังค์ส่งไปแล้วนะ” มันเป็นคำพูดที่ลำบากจะบอกลูก แต่ก็ต้องบอกความจริง ต้องย้ายจากคอนโดหรูในกรุงเทพ ไปอาศัยคอนโดเพื่อนอยู่ เวลาผ่านไปลูกๆ ก็เข้าใจ

ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะฟื้นมาได้เพราะขายแซนด์วิช

  • ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ  : มีคนถามผมว่าคุณรู้ได้ไงว่าคุณจะฟื้น เพราะขายแซนด์วิช “วันนั้นผมไม่ได้คิด” เมื่อปี 2540 พอเจ๊งแล้วเนี่ย ผมก็เรียกพนักงานทุกคนในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างคอนโดขาย มีอยู่ประมาณ 40 คน ผมบอกว่าต้องปิดบริษัทนะ เพราะคอนโดขายไม่ได้ ผมกู้เงินเยอะเดือนหนึ่งจ่ายดอกเบี้ยเกือบแปดล้านบาท มีพนักงาน 20 คน ขอให้ผมช่วย ผมก็บอกผมไม่รู้จะทำอะไรเลี้ยงพวกคุณ ผมแย่ ผมก็กลับไปปรึกษาภรรยา ภรรยาบอกว่าเราต้องไม่ทิ้งลูกน้องเรานะ อย่างนี้เราทำแซนด์วิชขายเลี้ยงลูกน้องไหม ผมรู้อย่างเดียววันนั้น ผมไม่มีทางไป ผมหลังพิงฝ าและผมก็ต้องเดินข้างหน้า แต่ผมไม่หยุดคิดและก็ไม่หยุดทำ

บทเรียนของชีวิตจากมรสุมชีวิตที่ผ่านมา

  • ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ อย่าประมาท อย่าโลภ แต่คนเรามันมีความโลภ ผมยอมรับ ผมพูดที่ไหนผมก็บอกผมเจ๊ง เพราะผมโลภ ผมไม่รู้จักพอ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ท่านก็ได้บอกไว้ว่า ทุกอย่างอย่าไปยึดติด ปล่อยวาง ถ้ายึดติดแล้วมันเป็นทุกข์ กูแน่ กูรวย แต่วันนึงกูไม่แน่ กูจนไม่ได้ แกล้งทำรวยใหม่ อันนี้เนี่ยมันจะยิ่งเป็นความทุกข์ ในเมื่อจนแล้วจริงๆ ก็ไม่ต้องไปมีอะไรเลย แล้วก็อยู่กับสภาพนั้น แล้วถ้าเรากลับขึ้นมาอีกเราก็จะไม่ลืมตัว คิดไปคิดมาสิ่งที่เราโดน ยังน้อยกว่าที่คนอื่นเค้าโดน คำปรามาส คำด่า คำไล่ ทนได้ก็ทน นี่ขนาดระดับผมนะ ยังโดนขนาดนี้ แล้วพ่อค้าแม่ขายที่เข้ามาจากต่างจังหวัด ความรู้ก็ไม่มี ทุนก็ไม่มีแล้วก็ไม่เคยสูงสุด ไม่เคยลิ้มรสของความเป็นคนรวย ผมเคยเป็นคนรวยมาแล้ว จบนอกผมยังโดนเลย แล้วคนอื่นๆ ที่ไม่มีอะไรเลย เค้าจะโดนยิ่งกว่าผมขนาดไหน

น้อมรับคำสอนของพ่อร.9 ว่า “อยู่แบบพอเพียง”

  • ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ ผมก็ต้องขอฝากว่านำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาใช้ พระองค์ท่านก็บอกปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือง่ายๆ ทำทุกอย่าง ทำพอประมาณ มีเหตุมีผล สร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี พึ่งตนเอง อย่าไปพึ่งคนอื่น วันนี้ทำได้แค่นี้ ก็ทำไปแ ต่เราก็ไม่ละความพยายามความทะเยอทะยานที่จะทำดีขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ว่าเรามีกำลังแค่นี้อยากจะไปทำใหญ่ๆ โตๆ อันนี้ไปพึ่งคนอื่นแล้ว ไม่พอประมาณเกินตัวแล้ว เราจะพลาด ผมก็ไม่เคยโทษคนอื่น ผมโทษที่ตัวผม ถ้าผมรู้จักพอในวันนั้น ผมก็คงไม่ต้องตกต่ำมายืนขายแซนด์วิชข้างถนน แต่วันนี้ 21 ปี ผ่านไปก็ดีใจเหมือนกันที่เกิดขึ้นตอนอายุ 48 ถ้ามาเกิดขึ้นตอนนี้ผมอายุ 69 มันก็ไม่มีทางแล้ว วันนั้นก็คิดว่าทำไมต้องเป็นกูวะ...วันนี้ก็ดีใจว่าดีแล้วที่มันเป็นวันนั้น ถ้าเป็นวันนี้มันไม่มีทางแน่นอน


และนี่คือเรื่องราวและบทสัมภาษณ์ของ "คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ" ที่ทีมงาน aomMONEY INSPIRED นำมาฝากเพื่อนๆ ทุกคนกันครับ ถ้าแล้วชื่นชอบ อย่าลืมช่วยแชร์กันนะครับ และถ้าอยากดูรายการสัมภาษณ์แบบวีดีโอ สามารถคลิกเข้าไปชมได้ที่วีดีโอด้านล่างเลยครับ

ภาคภูมิ ชอบสุจริตสกุล (ผู้เขียน)

รฐาพัชร์ ตุลยพิทักษ์  (บรรณาธิการ)  

ทีมงาน aomMONEY Inspired

https://www.facebook.com/plugins/video.php?href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Faommoneyth%2Fvideos%2F16926061aommoney-inspired459181%2F&show_text=0&width=476

https://youtube.com/watch?v=ir1R83RqgxM%3Fwmode%3Dopaque

ศิริวัฒน์แซนด์วิช

ช่องทางติดตาม aomMONEY INSPIRED

Facebook : คลิก

Youtube : คลิก

Twitter : คลิก

Instagram : คลิก