สวัสดีครับนักลงทุน และ คนที่ติดตามเพจคลินิกกองทุนแห่งนี้ทุกท่านนะครับ ผมเชื่อว่าใครก็ตามที่อ่านบทความนี้ หรือ ติดตามเพจของผม ก็น่าจะเป็นคนที่สนใจเรื่องของการลงทุน การวางแผนทางการเงิน หรืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีความสนใจเรื่องการเงินอยู่แน่ ๆ ใช่ไหมละครับ

ซึ่งแน่นอนว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในชีวิต เพราะว่าทุกเป้าหมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือว่าเป็นเป้าหมายใหญ่ในชีวิตก็ล้วนแล้วแต่มีเงินมาเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้นครับ

แต่เนื่องจากว่าเงินเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด (ถ้าใครมีเงินไม่จำกัด ผมก็อยากจะขอยืมเหมือนกันนะครับ) แต่ว่าเป้าหมายของเรามีอยู่ไม่จำกัด การบริหารจัดการเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะว่าการบริหารเงินที่ดีนั้นจะช่วยให้เราได้เป้าหมายที่มีอยู่มากมายนั้นสามารถบรรลุได้อย่างที่ตั้งใจไว้

โดยถ้าเรามองไปที่พื้นฐานของการวางแผนการเงินที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำบัญชีรายรับ รายจ่าย นั่นเองครับ เพราะว่าถ้าหากเราบริหารจัดการรายรับ รายจ่ายได้ดีนั้น จะทำให้เรามีเงินเหลือมากขึ้น และมีโอกาสนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนให้งอกเงยได้มากขึ้นในระยะยาว

ซึ่งการทำบัญชี รายรับ รายจ่าย นั้นมีประโยชน์มาก ๆ เพราะว่าจะทำให้เราเห็นว่าเราจะมีเงินเพียงพอใช้ในแต่ละเดือนหรือไม่ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มีอะไรบ้างที่สามารถลดลงได้บ้าง เราสามารถที่จะแบ่งเงินลงทุนต่อเดือนได้เท่าไหร่ โดยไม่กระทบต่อการใช้ประจำวันของเรา

หรือถ้าคนไหนที่มีหนี้สินอยู่ ก็สามารถพิจารณาว่าจะสามารถจ่ายหนี้ หรือแก้หนี้ที่มีอยู่ได้อย่างไร ก็สามารถดูได้จากการทำบัญชี รายรับ รายจ่ายที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการวางแผนการเงินนี่แหละครับ เมื่อทำบัญชีเสร็จ เราก็จะทราบแล้วว่า รายจ่ายส่วนไหนที่ไม่จำเป็น หรือรายจ่ายส่วนไหนที่จำเป็น

โดยส่วนใหญ่เวลาที่เราจะลดค่าใช้จ่ายลงนั้น มักจะเป็นค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่าง ๆ หรือ อะไรที่ไม่จำเป็นก็อาจจะชะลอการซื้อไปก่อน แต่ค่าใช้จ่ายที่ลดได้ยากมากก็คือ ค่าใช้จ่ายประจำ เช่นการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าใช้จ่ายด้านภาษี

และ ถ้าเราสามารถที่จะลดค่าใช้จ่ายประจำลงได้ จะทำให้เรามีภาระต่อเดือนลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะว่าค่าใช้จ่ายประจำเหล่านี้แหละครับ ที่ทำให้เงินของเราหายไปอย่างไม่รู้ตัว ดังนั้นการลดภาระลงก็จะทำให้เรามีเงินเก็บมากขึ้น นั่นก็หมายความว่า เราสามารถนำเงินก้อนนี้ไปทำอย่างอื่นได้ ตอบเป้าหมายในชีวิตได้มากขึ้น เช่นบางคนก็อาจจะอยากไปเที่ยว เมื่อมีเงินเหลือมากขึ้นก็สามารถไปเที่ยวได้อย่างสบายใจมากขึ้น

โดยเฉพาะกับรายจ่ายประจำอย่าง “ภาษี” ที่ผู้มีรายได้จำเป็นต้องจ่ายให้กับภาครัฐ ฯ ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นรายจ่ายที่สามารถควบคุมหรือ ปรับลดลงได้ และแถมยังมีเงินออมเพิ่มเติมให้กับเราได้อีกด้วยครับ

เนื่องจากค่าลดหย่อนภาษีบางประการนั้น เป็นสิ่งที่ภาครัฐ ฯ ได้ทำการส่งเสริมเรื่องการออม หรือการลงทุนเพื่อการเกษียณด้วย ยกตัวอย่างเช่นกองทุน SSF ที่สามารถนำยอดซื้อกองทุนนี้ไปลดหย่อนภาษีได้ถึง 30% ของรายได้ (แต่ได้สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท)

ซึ่งเงินก้อนนี้เราสามารถเลือกได้ว่าจะไปลงทุนกับกองทุนประเภทไหน ผมต้องบอกเลยครับว่าคุ้มมาก ๆ คุ้มกว่าการฝากเงินแน่นอน เพราะว่ากองทุน SSF ต่อให้เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดอย่างกองทุนตลาดเงินนั้น ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากออมทรัพย์ ถึงแม้ว่าความเสี่ยงจะสูงขึ้นกว่าเดิมก็ตามที แต่ความเสี่ยงนั้นไม่ได้สูงขึ้นกว่าการฝากเงินสักเท่าไหร่

และยิ่งในช่วงที่ภาวะดอกเบี้ยต่ำ ๆ แบบนี้การเก็บเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ก็อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสักเท่าไหร่นัก การลงทุนจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างมาก แถมได้ลดภาษีลงอีกต่อหนึ่ง อย่างที่ผมได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ครับ

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว การลงทุนผ่าน SSF แบบไหนดีจึงจะมีความน่าสนใจ แน่นอนครับว่ามาคุยกับผมทั้งที ผมมีคำตอบให้กับทุกท่านแน่ ๆ ครับ

ก่อนอื่นเลย ผมคิดว่านักลงทุนอาจจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ SSF เพิ่มเติมก่อนที่ผมจะอธิบายว่ากองทุน SSF ที่น่าสนใจ

กองทุน SSF นั้นจริง ๆ แล้วมีกองทุนที่ค่อนข้างจะหลากหลายครับ มีตั้งแต่เสี่ยงต่ำ เช่นกองทุนตราสารหนี้ กองทุนตลาดเงิน (เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นมาก ๆ) จนไปถึงกองทุนทีมีความเสี่ยงสูงอย่างกองทุนหุ้น กองทุนหุ้นต่างประเทศ หรือกองทุนสินทรัพย์ทางเลือก (เช่นทองคำ) เอาเป็นว่ามีกองทุนให้เราเลือกหลากหลายมาก ๆ เลยครับ

คราวนี้เรามาดูกองทุนที่มีความน่าสนใจกันครับ โดยเริ่มจากกองทุนที่ลงทุนในประเทศไทยครับ นั่นก็คือ กองทุนบัวหลวงหุ้นไทย SSF, B-INCOMESSF และ บัวหลวงเจ็ดสิบสามสิบ SSF ครับ

หลายท่านอาจะเริ่มตาลาย ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมสรุปรายละเอียกของกองทุนได้ดังนี้ครับ

1. ขาลุยพร้อมชนความเสี่ยง

ต้องกองทุนบัวหลวงหุ้นไทย SSF ที่มีนโยบายการลงทุน กับสินทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย พูดง่าย ๆ คือ ลงทุนผ่านหุ้นไทย และ สินทรัพย์อื่น ๆ ที่อยู่ในกระดานหุ้นนั่นเองครับ และกองทุนนี้จะเน้นการกระจายความเสี่ยงของการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่มต่าง ๆ ครับ เพื่อให้เราได้ลงทุนในหุ้นที่เติบโตได้ในภาวะที่มีความผันผวนแบบนี้ครับ เพราะว่าหุ้นบางตัวก็เติบโตได้ในภาวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง แต่หุ้นบางกลุ่มก็เติบโตตามตลาดหุ้นได้มากกว่า

ซึ่งหุ้น 5 อันดับแรกก็มีดังนี้ครับ

https://www.bblam.co.th/products/mutual-funds/super-savings-fund/beqssf/9345

จากหุ้น 5 ตัวแรกของกองทุน จะสังเกตว่าพอเห็นชื่อหุ้น ก็น่าจะทราบได้เลยทันทีนะครับ ว่าประกอบกิจการอะไรบ้าง เพราะว่าเป็นกิจการที่เราคุ้นเคยกันดีใช่ไหมครับ แต่การลงทุนในหุ้นย่อมมีความผันผวนนะครับ เศรษฐกิจมีขึ้นมีลง กำไรของหุ้นเองก็ขึ้นลงได้เช่นกันครับ ดังนั้นเทคนิคในการลงทุนก็คือ ต้องถือกองทุนให้ยาวมากขึ้น (แต่ถ้าจะลงทุนเป็น SSF อยู่แล้วก็ไม่มีปัญหาครับ)

ดังนั้นใครที่อยากจะให้เงินเติบโตไปพร้อม ๆ กับ กิจการแบบนี้ และชอบแนวคิดการลงทุนของกองทุนนี้ พร้อมกับอยากลดหย่อนภาษีไปด้วยละก็ กองทุนนี้ถือว่าน่าสนใจครับ

2. ชอบเติบโตแต่ขอผันผวนน้อยลงหน่อย 

ผมว่ากองทุนผสมบัวหลวง 70/30 SSF ที่มีนโบายการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีประมาณ 70% ในหุ้นที่หลากหลายเหมือนกับกองทุนบัวหลวงหุ้นไทย และมีแนวคิดกระจายความเสี่ยงด้วยตราสารหนี้ประมาณ 30% ที่จะทำให้ความผันผวนไม่สูง แต่ก็ยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในหุ้นไทยอยู่ ดังน้นถ้าใครชอบหุ้นไทย แต่ว่าก็ไม่อยากที่จะเสี่ยงสูงเต็มรูปแบบแล้วละก็ กองทุนบัวหลวง 70/30 SSF ถือว่าดีงามมากครับ

https://www.bblam.co.th/products/mutual-funds/super-savings-fund/bm70ssf/10239

3. ชอบความสม่ำเสมอ ลงทุนหลากหลายเน้นกระจายความเสี่ยง

กองทุน B-INCOMESSF ที่มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น หุ้น ตราสารหนี้ อสังหา ฯ ทั้งในและต่างประเทศ โดยที่สัดส่วนการลงทุนเองก็สามารถปรับได้ตั้งแต่ 0-100 % ทุกสินทรัพย์ เพื่อเน้นการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้กับนักลงทุนครับ

โดยที่กองทุนนี้อาจจะไปลงทุนในกองทุนรวมด้วยก็ได้นะครับ หรือที่เราเรียกว่า Fund of Fund (กองทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมอีกที) ทั้งนี้ก็เพราะว่า กองทุนต่างประเทศบางกองทุนนั้นมีศักยภาพในการเติบโตได้ มีการบริหารจัดการที่ดี และ มีลงทุนในหลายสินทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยง ดังนั้นก็จะยิ่งทำให้ผลตอบแทนของเราจากกองทุนนี้ ยิ่งมีความผันผวนน้อยลงไปอีกครับ

https://www.bblam.co.th/products/mutual-funds/super-savings-fund/products/mutual-funds/9176/b-incomessf/b-incomessf/9179

ซึ่งการกระจายความเสี่ยงแบบนี้ ผมคิดว่าเหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงสูง ๆ ไม่ค่อยได้ แต่อยากลงทุนในระยะยาวแล้วได้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ ถึงแม้ว่าจะสูงผลตอบแทนในระยะยาวของหุ้นไม่ได้ก็ตาม แต่ถ้าใครรับความเสี่ยงได้ปานกลาง ผมว่ากองทุนเหมาะครับและ ได้ผลตอบแทนเป็นไปตามที่คาดหวังได้ไม่ยาก

แต่ทั้งนี้การลงทุนไม่ได้มีโอกาสแค่ในประเทศของเรานะครับ การลงทุนในหุ้นต่างประเทศเองก็ยังมีความน่าสนใจมาก ๆ ไม่แพ้การลงทุนในหุ้นไทยเลยครับ และในบางครั้งก็มีโอกาสเติบโตได้มาก และ ช่วยกระจายความเสี่ยงได้อย่างดีอีกด้วยครับ

อย่างในช่วงที่ผ่านมาที่การลงทุนผ่านกองทุนหุ้นกลุ่ม เทคโนโลยี และ การลงทุนผ่านกองทุนหุ้นจีนที่มีการบริโภคของประชากรในประเทศสูงมากขึ้น ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีมากได้ และ เติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่มีการระบาดของโรค COVID-19 ก็ตามครับ

ซึ่งถ้าใครอยากให้เงินมีโอกาสที่จะเติบโตในระยะยาวได้ดี การกระจายไปยังต่างประเทศก็คือว่าเป็นคำตอบของคนในยุคนี้ครับ

ดังนั้นกองทุนที่เกี่ยวกับธุรกิจในอนาคตอย่าง B-FUTURESSF นั้นถือว่าเป็นพระเอกในช่วงนี้เลยครับ

เนื่องจากกองทุน B-FUTURESSF จะเน้นลงทุนในกองทุน หรือ หุ้น ที่ได้มีโอกาสเติบโตสูง โดยเน้นไปที่กลุ่มธุรกิจที่เน้นนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือ เทคโนโลยี รวมถึงธุรกิจที่เติบโตจากการบริโภคในอนาคตด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีโอกาสการะจายไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่ไปลงทุนในกลุ่มธุรกิจใหม่ ๆ และเทคโนโลยีก็ได้ครับ

จากสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนด้วย 5 อันดับแรก จะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงการบริโภค และ เน้นไปในประเทศจีน รวมไปถึงกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง AI ด้วยครับ

ถือว่าน่าสนใจมาก ๆ เลยครับ ซึ่งกองทุนนี้อาจจะมีนโยบายไม่เหมือนกับกองทุน  B-INNOTECHRMF

ที่ออกมาก่อนหน้านี้นะครับ กองทุน B-INNOTECHRMF จะเน้นไปที่หุ้นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่คุ้นเคยกันอยู่ทุกวัน เช่น Microsoft, Amazon หรือ Google และเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยี รวมถึง AI ดังนั้นถ้าพูดถึงการเติบโตในระยะยาว ๆ แล้วกองทุน B-FUTURESSF น่าจะให้ผลตอบแทนที่แตกต่างไป เพราะมองกว้างกว่าที่ครอบคลุมเทรนด์อนาคต เพราะไม่ใช่เทคโนโลยี แต่รวมถึงสินค้าและบริการที่จะเกิดขึ้นรองรับ new economy แต่ก็แน่นอนว่าแลกมาด้วยความผันผวนที่มากกว่า ดังนั้นหากใครที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง กองทุน B-FUTURESSF นั้น ถือว่าเหมาะมาก ที่สำคัญอย่าลืมว่าไหน ๆ ก็ต้องลงทุนระยะยาวอยู่แล้วกองทุนนี้ก็ถือว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดี คุ้มความเสี่ยงแน่ ๆ ครับ

https://www.bblam.co.th/products/mutual-funds/super-savings-fund/b-futuressf/9188

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ การลดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างภาษีด้วยกองทุน SSF หลากหลายประเทศ และ ประเภท ก็น่าจะช่วยให้เงินของเรางอกเงยได้เป็นอย่างดี เพราะว่ามีการกระจายความเสี่ยงไปด้วย ที่สำคัญ เมื่อเราลดค่าใช้จ่าย และสามารถสร้างผลตอบแทน สร้างกระแสเงินสดใหักับตัวเองได้ เราก็จะสามารถทำตามเป้าหมายที่มีมากมายในชีวิตได้อย่างครบถ้วนครับ

คำเตือน : 

• การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น)

• ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ผลการดำเนินงาน และสิทธิประโยชน์ทางภาษีระบุในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF/SSF ก่อนตัดสินใจลงทุน

• กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อ ยู่ในดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

สุดท้ายนี้ผมอยากให้ทุกท่านลงทุนได้อย่างมีความสุข และ บรรลุสิ่งที่ต้องการได้ดั่งใจ จากการวางแผนการเงินที่ดีนะครับ วันนี้ผมขอลาไปก่อน สวัสดีครับ

บทความนี้เป็น Advertorial