จากสถานการณ์ที่ผ่านมาในช่วง 2 ปี ตอกย้ำชัดเจนว่า โรคระบาดอย่างโควิดคงยังจะไม่หมดไปจากโลกง่าย ๆ และไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหมด มีแต่เราต้องปรับตัวอยู่กับมันให้ได้ เหมือนอย่างที่ใครหลายคนว่าไว้

แต่การปรับตัวที่ว่า จำเป็นต้องมีเรื่องของเงินมาเกี่ยวข้องด้วยครับ เพราะเราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเกิดวิกฤติในทุกๆ ครั้ง การมีเงินสำรองและการวางแผนการเงินที่ดี สามารถช่วยให้เรารอดพ้นวิกฤติมาได้อย่างไม่เจ็บตัวมากนัก ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ นั่นคือ การจัดการการเงินที่ดีเพื่อให้เรามีชีวิตรอดอยู่ในทุกสถานการณ์ที่เข้ามา (แหม่... ฟังแล้วเศร้า แต่มันคือเรื่องจริงครับ)

และการวางแผนการเงินที่ดี หมายรวมถึงการวางแผนภาษีเพื่อคำนวณรายจ่ายอย่างเหมาะสมให้เป็นไปตามเป้าหมายที่เราต้องการอีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้เห็นภาพ ลองมาดูตัวอย่างการตั้งเป้าหมายเพื่อมาใช้ในการวางแผนภาษีกันดูครับ เรามีเป้าหมายอะไรที่ใช้ได้บ้าง เท่าที่ผมนึกออก คงเป็นเป้าหมายหลัก ๆ 2 เรื่องนี้ครับ

  • เป้าหมายแรก คือ อีก 10 ปีข้างหน้า เรามีอะไรที่คาดหวังไหม ในการเปลี่ยนไปอีกช่วงของชีวิต สำหรับคนที่เริ่มต้นทำงาน อาจจะวางแผนซื้อบ้าน แต่งงาน สร้างครอบครัว หรือเก็บเงินก้อนหนึ่งไว้ทำตามเป้าหมายที่ฝันไว้
  • เป้าหมายที่สอง คือ การเกษียณ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เราต้องวางแผนระยะยาวคิดไว้ในวันที่เราไม่ได้ทำงานแล้วว่า เราจะใช้จ่ายอย่างไร บริหารเงินแบบไหน รวมถึงสะสมไว้เท่าไรดี

ใช่แล้วครับ ! ที่เกริ่นมาแบบนี้ ผมอยากจะบอกว่า การวางแผนที่ดี ร่วมกับการเลือกลงทุนที่ดี จะสามารถทำให้เราไปถึงเป้าหมายนั้นๆ ได้ ซึ่ง “กองทุนรวมแบบ กองทุนรวมเพี่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)” ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งในการวางแผนสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีและยังสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินที่เราตั้งไว้ได้ด้วย

แต่บางคน อาจชะล่าใจ พอคิดว่าเป้าหมายการเงินยังอีกยาวไกล เลยไม่จำเป็นต้องรีบวางแผน หรือบางครั้ง กว่าจะวางแผนจัดการภาษีก็ไปเร่งรีบเอาช่วงปลายปีเสียอย่างนั้น ผมขอบอกครับว่าความคิดแบบนี้ ถือว่าพลาดมาก เพราะการได้เรียนรู้และเริ่มต้นเร็วต่างหาก ที่จะเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าการสร้างวินัยการเงินควบคู่กับการวางแผนภาษีเป็นเรื่องที่ดี และควรพิจารณาให้เหมาะสมตั้งแต่ช่วงต้นปีแบบนี้เลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นการเช็คผลตอบแทนกองทุนลดหย่อนภาษีที่เราลงทุนผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง พอร์ตการลงทุนตัวไหนควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับเป้าหมายการเงินและความเสี่ยงหรือเปล่า ไปจนถึงการเช็คเป้าหมายการเงินของตัวเองในตอนนี้ว่ายังเหมือนเดิมไหม มีอะไรต้องเพิ่มหรือลดลงบ้างหรือเปล่า

หลังจากที่เช็คเป้าหมายและฐานะการเงินของเราเสร็จแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือวางแผนต่อไป โดยเลือกใช้แผนการลงทุนผ่านกองทุนที่ตอบโจทย์เป้าหมาย และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ไปพร้อม ๆ กัน

และถ้าหากใครกำลังมองหากองทุนอยู่ (เอ้า ขายของสักหน่อย) ทาง KTAM เอง ก็มีกองทุนน่าสนใจที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตามระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน และสามารถลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย โดยกองทุนที่เป็นตัวหลักที่เขาแนะนำอยู่เสมอ นั่นคือ กองทุนในกลุ่ม มั่ง มี ศรี สุข นั่นเองครับ

โดย กองทุนกลุ่มมั่ง-มี-ศรี-สุข (ทั้งแบบ SSF และ RMF) จะมีนโยบายการลงทุนแบบ Asset Allocation โดยจัดสรรให้ตามความเสี่ยงและความต้องการผลตอบแทนในระดับต่าง ๆ ของนักลงทุนที่ต้องการแตกต่างกันไป 4 กลุ่มดังนี้ครับ

*อัตราผลตอบแทนที่ใช้เป็นตัวชี้วัดข้างต้น เป็นเพียงการกําหนดตัวชี้วัดของกองทุนที่เกิดจากการจัดทํา แบบจําลองการลงทุนย้อนหลัง 7 ปี ซึ่งกองทุนมิได้รับประกันผลตอบแทนดังกล่าว ทั้งนี้ มูลค่าของทรัพย์สินที่กองทุนลงทุนอาจมีความเคลื่อนไหวไปตามสภาวะตลาดในขณะนั้น ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนน้อยกว่า หรือมากกว่าอัตราผลตอบแทนที่กำหนดเป็นตัวชี้วัดได้ โดยระยะเวลาลงทุนที่เหมาะสมควรเป็นการลงทุนในระยะยาว

ปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญ : ความเสี่ยงทางตลาด ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องของหลักทรัพย์ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวลงทุน เป็นต้น ทั้งนี้ กองทุนมีนโนบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือจะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

นอกจากกองทุนในกลุ่มนี้แล้ว สำหรับคนที่สนใจกองทุนที่ลงทุน ไม่ว่าจะเป็นลงทุนในหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ หรือหุ้นทั่วโลก ก็สามารถดูรายละเอียดได้ที่ บลจ. กรุงไทย www.ktam.co.th หรือติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ผู้สนับสนุนการขาย หรือ บลจ.กรุงไทย โทร 02 686 6100  กด 9

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมอยากฝากไว้ในเรื่องของการจัดการการเงิน คือ อย่าลืมวางแผนให้ชัดเจนตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ และเลือกใช้สินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการและความเสี่ยงของเราครับ เพราะจะทำให้เรามองเห็นภาพที่ชัดเจน และสร้างวินัยในการลงทุนได้ง่ายขึ้นครับ

โดยเฉพาะการเลือกกองทุน SSF และ RMF นั้น เราควรเลือกสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่ต้องการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ และซื้อในจำนวนที่เหมาะสมกับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีที่เรามี เพื่อให้ได้ครบทั้งสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษี และผลตอบแทนจากการลงทุนครับ

รายละเอียดเพิ่มเติม :

SSF เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมระยะยาวและ RMF เป็นกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ

สิ่งสำคัญที่นักลงทุนทุกท่านต้องทำความเข้าใจเป็นอย่างแรกเลย ก็คือ

  • ความเข้าใจในลักษณะสินค้า
  • เงื่อนไขผลตอบแทน
  • ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม / กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน

หมายเหตุ :

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม/กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากลงทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด อาจจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเสียเงินเพิ่ม

ส่วนนักลงทุนท่านไหนที่สนใจ เค้ามีให้ชำระผ่านบัตรเครดิต KTC หรือใช้คะแนน KTC FOREVER ทุกๆ 1,000 คะแนน แทนเงินลงทุน 100 บาท ได้ด้วยนะ โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่ บลจ. กรุงไทยและบัตรเครดิต KTC กำหนด และยังสามารถลงทุนออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade ง่าย สะดวก ปลอดภัย อีกด้วย

ดาวน์โหลดเลยวันนี้ :

iOS: https://bit.ly/KTAMST  

Android: https://bit.ly/KTST_Android

สุดท้าย ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ตามที่วางไว้ และขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีของทุก ๆ คนครับ

#กองทุนสิทธิลดหย่อนภาษี #กองทุนรวมสิทธิลดหย่อนภาษี #กองทุนรวม #กองทุนไหนดี #กองทุนSSFRMF #กองทุนRMF #กองทุนSSF #กองทุนKTAM #ซื้อกองทุนผ่านบัตรเครดิต #KTAMSMARTTRADE

บทความนี้เป็น Advertorial