หากเราจะเสาะหาบริษัทที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อมอบประสบการณ์ที่มีความสุขให้แก่ผู้บริโภคอย่างยั่งยืน และยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน เราอาจต้องโฟกัสไปที่บริษัทที่ทำธุรกิจอาหารระดับชั้นนำของโลกอย่าง NRF

NRF หรือ บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจเป็นผู้นำในการผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนทางเลือก เครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน และสินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม โดยมีผลิตภัณฑ์มากกว่า 2,000 SKUs 200 แบรนด์ และมากกว่า 500 สูตรอาหาร 

ผลิตภัณฑ์ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในหลากหลายรูปแบบ หลายขนาด เช่น ขวดแก้ว ขวดโหล ซอง และกล่องสำเร็จรูปพร้อมรับประทานเข้าไมโครเวฟได้ จำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ กว่า 25 ประเทศทั่วโลก อาทิ ทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ เอเชีย ฯลฯ

NRF คือบริษัทที่ทำธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่เพียงขายผลิตภัณฑ์เพื่อได้กำไรเพียงอย่างเดียว แต่ยังใส่ใจคุณภาพผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ กระจายส่งออกผลิตภัณฑ์ในแหล่งที่หาซื้อได้สะดวกอย่างห้างสรรพสินค้า รวมถึงโมเดิร์นเทรด ฯลฯ  ส่วนใหญ่เน้นส่งออกในตลาดหลักในต่างประเทศ เพื่อเสิร์ฟผลิตภัณฑ์อาหารที่มีรสชาติถูกปาก และดีต่อสุขภาพแก่ผู้บริโภคได้เลือกสรรตามความพึงพอใจ 

โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ยังตอบโจทย์สไตล์ผู้คนยุคใหม่อย่าง Millennial (Gen me) ที่เน้นกินอาหารคลีน ๆ อย่างผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของ NRF ที่มุ่งเน้นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนของโลก ตอบแทนสิ่งดี ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่สังคม และเพื่อโลก อย่างการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ทดแทนด้วยอาหารโปรตีนจากพืช เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ห่างไกลโรคร้าย 

สำหรับผลิตภัณฑ์ของ NRF แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก เข้าใจได้ง่าย ๆ ดังนี้ คือ

1) ธุรกิจกลุ่ม Ethnic Food

ธุรกิจผลิตภัณฑ์รับจ้างผลิต (OEM / Private Label) 

ประกอบด้วย เครื่องประกอบอาหารและเครื่องปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุง (Ready-to-cook) อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน (Ready-to-eat) และเครื่องดื่มชนิดผงพร้อมชงและพร้อมดื่ม รวมถึงอาหารอุ่นไมโครเวฟ

เรียกได้ว่าผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย และสร้างข้อได้เปรียบจากการลงทุนในบริษัทที่เป็นพันธมิตรขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ จุดเด่นคือบริษัทฯ มีใบรับรองคุณภาพการผลิตจากประเทศฝั่งสหรัฐอเมริกาและยุโรป มีประสบการณ์ด้านการตรวจสอบคุณภาพมาอย่างยาวนาน รวมถึงยังเป็นโรงงานผลิตอาหารแห่งแรกในประเทศไทยที่เป็น Carbon Neutral ซึ่งได้ใบรับรองโดย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์ยังเป็นที่ต้องการแก่ลูกค้าที่ซื้ออยู่เป็นประจำ ที่มีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่ใส่ใจคุณภาพ จากการดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 30 ปี และยังได้ลูกค้าหน้าใหม่ที่เกิดจากการที่ NRF มุ่งเน้นเรื่อง sustainability หรือความยั่งยืนเพื่อการเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีขึ้น เช่น การลงนามข้อตกลงอย่างเป็นทางการกับ Griffith Food ในการร่วมมือกันขายผลิตภัณฑ์ไปทั่วโลก และมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แข็งแกร่ง เกิดความยั่งยืน

ธุรกิจผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ

บริษัทฯ มีสินค้าในตราของบริษัทเองด้วย เน้นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งเน้นความดั้งเดิมไปจนถึงสมัยใหม่เข้าถึงง่าย และยังมีโอกาสที่ NRF สามารถขยายฐานลูกค้าได้อีกมาก เช่น แบรนด์       Por Kwan (พ่อขวัญ) , Lee Brand , Thai Delight , Shanggie , DeDe และ Sabzu (แซ่บซู่) อย่างแบรนด์ Thai Delight น่าจะเป็นแบรนด์ที่หลายคนคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นอาหารสำเร็จรูปที่รับประทานได้ ไม่ต้องปรุงรสเพิ่ม อย่างแกงเขียวหวานไก่กับผัดไทยก็ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลาย ๆ คนน่าจะเคยชิมกันมาแล้ว

2) ธุรกิจกลุ่มPlant-Based Food

อาหารโปรตีนจากพืช หรือ Plant – Based Food ถือเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ของโลกที่กำลังมาแรงมาก ประชากรจำนวนหนึ่งหันมากินมังสวิรัติมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องการอาหารที่อร่อยและครบคุณค่าในเวลาเดียวกัน บริษัทฯ เองก็ทำผลิตภัณฑ์ตรงนี้ด้วย เช่น เนื้อปลาเทียม เส้นชิราตากิ หมูบดเทียม นอกจากนี้ยังได้เข้าลงทุนต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ กับบริษัทต่างชาติเพื่อสนับสนุนธุรกิจเกิดใหม่ที่เกี่ยวกับโปรตีนจากพืช

NRF ยังได้ร่วมลงทุนในธุรกิจอาหารกับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ และมีชื่อเสียงระดับโลกจากการทำธุรกิจเกื้อกูลกัน กับบริษัท THE BRECKS COMPANY LIMITED หรือเบรคส์ ที่มีฐานการผลิตในประเทศอังกฤษ ประสบการณ์ยาวนานกว่า 27 ปี ในธุรกิจผลิตอาหารโปรตีนจากพืช โดยร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ Plant and Bean Ltd. ที่ประเทศอังกฤษ รับจ้างผลิตอาหารโปรตีนจากพืชให้กับบริษัทอาหารชั้นนำของโลก และยังเป็นพันธมิตรกับ The Meatless Farm Limited ในประเทศอังกฤษ ผู้ผลิตอาหารจำพวกแฮมเบอร์เกอร์เนื้อเทียม โปรตีนจากข้าวและถั่ว รวมถึงหัวไชเท้า

ความเหนือชั้นของบริษัทฯ อาจสังเกตได้จากสัดส่วนรายได้ที่มาจากการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกไปยังหลายทวีปทั่วโลก โดยมีจุดแข็งที่พร้อมดำเนินการชูกลยุทธ์ในการก่อตั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช ในส่วนที่ก่อตั้งบนที่ดินของบริษัทฯ เอง ที่มีเป้าหมายที่จะมีรายได้จาก Plant-Based ประมาณ 30-40% ในปี 2567 และยังได้มีการลงทุนผ่าน Plant and Bean Ltd. (P&B) ที่ตั้งเป้าหมายขยายกำลังการผลิตอาหารโปรตีนจากพืชจากประมาณ 3,400 ตันเป็น 36,000 ตันภายในปี 2564 และยังได้มีการวางแผนที่จะขยายฐานการผลิตไปในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงเอเชียอีกด้วย

NRF ยังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนบริษัทสตาร์ทอัพ ก่อตั้งและลงทุนในกองทุน Big Idea Venture และ New Protein Fund ขนาดกองทุน 1,500 ล้านบาท โดยมี Temasek และ Tyson Foods ร่วมลงทุน โดยมีเป้าหมายที่จะลงทุน 100 สตาร์ทอัพ จากที่ลงทุนไปแล้ว 27 สตาร์ทอัพ ซึ่งจะส่งผลดีแก่บริษัทฯ ในอนาคต ที่บริษัทสตาร์ทอัพเหล่านั้น จะเข้าซื้อผลิตภัณฑ์ของ NRF ทำให้มีรายได้หลายทาง โดยเฉพาะยังทำให้บริษัทฯ มีสิทธิ์ที่จะนำเสนอเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ให้แก่เหล่าสตาร์ทอัพได้อย่างกว้างขวาง นำไปสู่การสร้างชื่อเสียงในอนาคต สะท้อนถึงวิสัยทัศน์มองการณ์ไกลเพื่อการเติบโตของบริษัทฯ 

3) ธุรกิจกลุ่ม Functional Product

ธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่ทำหน้าที่เฉพาะด้าน รวมถึงสินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์ V-shapes เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ที่สะดวกสบายต่อผู้ใช้ โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขยายอาณาจักรของตลาดบรรจุภัณฑ์ V-shapes เช่น Fluid Energy Group ซึ่งเป็นผู้นำนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และในอนาคตก็น่าจะมีสินค้าอื่น ๆ ออกมาอีกด้วย

การประกอบธุรกิจของ NRF ยังไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์แค่นี้ แต่ยังวางแผนคิดค้นเพื่อจะผลิตผลิตภัณฑ์จำพวกอาหารเสริม ผ่านการลงทุนร่วมกับ กลุ่ม Boosted Ecommerce Inc. (Boosted) ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เป็นกลุ่มนักธุรกิจและนักลงทุนที่มุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเอง และมียอดขายบนช่องทาง Amazon E-Commerce ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก

NRF ยังเป็นที่ไว้วางใจแก่องค์กรต่าง ๆ ที่เคยรู้จัก ในเรื่องของการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน น่าจะเป็นสิ่งที่การันตีถึงความสามารถได้ว่า NRF มาไกลเกินกว่าจะหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม ในการทำธุรกิจไปพร้อมกับการตระหนักถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เพราะ NRF เป็นผู้ผลิตอาหารรายแรกของไทยที่เป็น Carbon Neutral ตอกย้ำความเชื่อมั่นที่ว่า บริษัทฯ จะเป็นตัวเลือกในอันดับแรก ๆ ในการผลิตสินค้าให้กับบริษัทอาหารสำเร็จรูปชั้นนำควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนสู่สังคมสีเขียว

การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ของ NRF อยู่เสมอ ยังสะท้อนได้จากการเข้าร่วมใน Sustainability Program ร่วมกับ World Economic Forum ซึ่งเป็นผลดีแก่บริษัทฯ ทำให้มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้นำองค์กรระดับโลกมากมาย ที่อาจกลายเป็นลูกค้าที่ยอดเยี่ยมในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของ NRF คือ การไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค เสิร์ฟรสชาติถูกปาก ส่งมอบความพึงพอใจสอดรับกับความต้องการกินอาหารในทุกช่วงเวลา เช่น อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน (Ready to eat) เป็นที่นิยมช่วงล็อกดาวน์ จากการเกิดโรคระบาด อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-Based Food) กลุ่มผู้บริโภคที่รักสุขภาพนิยมชื่นชอบ อาหารท้องถิ่นดั้งเดิม (Ethnic Food) สำหรับคนที่ชอบกินอาหารรสจัด และเผ็ดร้อน ฯลฯ โดยเฉพาะอาหาร Plant-Based Food ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งในด้านวัตถุดิบ รวมถึงรสชาติ กลิ่น ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกินเนื้อสัตว์จริงๆ โดย NRF คัดสรรใช้วัตถุดิบเกรดพรีเมียม สะอาด และปลอดภัย มุ่งสู่การผลักดันบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อการเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีขึ้น เจาะกลุ่มผู้บริโภค Millennial ทั่วโลก

โครงสร้างรายได้ (สำหรับงวด 6 เดือน ปี 2563)

หมายเหตุ /1รายได้อื่นเช่น รายได้บริการอื่น รายได้บัตรภาษีชดเชยจากการส่งออก ดอกเบี้ยรับ เป็นต้น

สำหรับสัดส่วนรายได้จากการขายหลักยังมาจากธุรกิจผลิตภัณฑ์รับจ้างผลิต โดยผลประกอบการ 6 เดือน ปี 2563 มีรายได้อยู่ที่ 372.9 ล้านบาท ส่วนผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 155.5 ล้านบาท และกลุ่ม Plant-Based Food ทำรายได้อยู่ที่ 38.5 ล้านบาท ขณะที่กลุ่ม Functional Product ทำรายได้ 25.2 ล้านบาท 

จะเห็นได้ว่าภาพรวมของสินค้าในแต่ละสัดส่วนก็มีแนวโน้มที่น่าสนใจ ด้วยสภาพอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตไปตามเทรนด์ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Plant-Based Food ที่บริษัทฯ มีความรู้ในการพัฒนาอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใช้วัตถุดิบเกรดพรีเมียมเป็นอย่างดี หากสามารถรักษาการประยุกต์เข้าไปกับเทรนด์ Plant-Based Food ที่กำลังมาได้ ก็ดูจะมีแนวโน้มในการเติบโตที่ดี

สัดส่วนรายได้แต่ละประเทศ สำหรับงวด 6 เดือนปี 2563

หมายเหตุ /1ลูกค้าในประเทศของบริษัทฯ เกือบทั้งหมดเป็นผู้ส่งออกสินค้า

ปัจจุบันฐานลูกค้าของบริษัทฯ อยู่ที่อเมริกาเหนือ (ประมาณ 31.2%) และยุโรป (ประมาณ 33.0%) ในขณะที่ไทยกินสัดส่วนประมาณ 14.4% ตัวเลขตรงนี้น่าสนใจมาก เพราะเป็นข้อมูลที่บอกได้ว่าบริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจระดับโลกอยู่แล้ว ตลาดการเติบโตย่อมกว้างกว่าการพึ่งพาแค่ประเทศใดประเทศเดียว

เป้าหมายต่อไปของ NRF คือ การผลิตอาหารแห่งอนาคต “Future of Food” ใส่ใจตั้งแต่วัตถุดิบ ส่วนประกอบของอาหาร เพื่อผลิตอาหารที่มีอัตราการเติบโตสูงอย่างยั่งยืน อย่าง Specialty Food เข้ากระบวนการผลิตและออกมาเป็นรสชาติที่ถูกปาก และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการกินอาหารที่ดีต่อร่างกาย ไม่มีไขมันเกาะติดให้รู้สึกอึดอัด เพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภค และดีต่อโลกอย่างยั่งยืน

NRF กำลังจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

NRF กำลังจะเข้าสู่ตลาดหุ้น ผ่านการระดมทุน IPO โดยมีจำนวนหุ้นที่เสนอขายไม่เกิน 340 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.08% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายทั้งหมด ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 290 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญโดยผู้ถือหุ้นเดิม คือ บริษัท ดีพีเอ ฟันด์ เอส จำกัด จำนวนไม่เกิน 50 ล้านหุ้น โดยหลังจากระดมทุนแล้ว ผู้ถือหุ้นหลักจะยังเป็นเครือครอบครัวปฐมวาณิชย์ที่ถือสัดส่วนรวมประมาณ 68.2% อีกด้วย

บริษัทฯ มีแผนจะนำเงินไปใช้ในหลากหลายวัตถุประสงค์

หลังจากระดมทุน NRF จะนำเงินไปใช้คืนเงินกู้ยืมส่วนหนึ่ง ใช้เป็นเงินหมุนเวียนในธุรกิจส่วนหนึ่ง และนำไปใช้เพื่อการลงทุนในอนาคตอีกส่วนหนึ่ง ใครที่สนใจอยากลงทุนในบริษัทฯ ก็สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทฯ เพิ่มเติมได้ที่ 

https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=288065

ลงทุนศาสตร์

บทความนี้เป็น Advertorial