เรื่องนี้เกิดขึ้นย้อนกลับไปตอนที่ยังเป็นเด็กมหาวิทยาลัยเมื่อปี 2003 (อะไรนี่มันผ่านมา 20 ปีแล้วเหรอ!)

ตอนนั้นอยู่ปีสาม ที่อเมริกา และก็เหมือนเด็กต่างชาติทั่วไปครับ ต้องทำงานพิเศษเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประจำวันเพราะแค่ค่าเทอมทางบ้านจ่ายก็เหนื่อยแล้ว

โชคดีที่ผมได้งานในมหาวิทยาลัย (ห้องสมุด ร้านหนังสือ และ ร้านขายของ) ค่าแรงตอนนั้นได้ประมาณ 8.5 - 12 เหรียญ/ชั่วโมง ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้มากมาย อาทิตย์หนึ่งตามกฎแล้วทำได้ไม่เกิน 20 ชั่วโมงด้วย อาทิตย์หนึ่งก็ได้สัก 150 เหรียญ

ถามว่าพออยู่ได้ไหมก็อยู่ได้แหละครับ ที่เหลือก็เก็บ ๆ เข้าบัญชีออมทรัพย์ปกติทั่วไป ทำงานมาสองปี มีเงินในบัญชีตอนนั้นจำไม่ผิดประมาณ 1,000 เหรียญ (ภูมิใจมาก)

พอขึ้นปีสาม ความจำเป็นเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนการบ้านที่ได้รับจากคาบเรียน ด้วยความที่ผมเรียนคณะ Computer Science วิชาที่เรียนส่วนใหญ่จะต้องเขียนโค้ดเขียนโปรแกรมตลอด แม้ว่าโรงเรียนจะมีห้องคอมพิวเตอร์สำหรับนักศึกษาของคณะในตึก แต่มันก็อยู่ในมหาวิทยาลัยซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 20 นาทีด้วยการเดิน

บางครั้งเสาร์-อาทิตย์อยากทำการบ้านที่บ้านก็ไม่ได้ บางทีฝนตกหรืออากาศหนาวก็ไม่อยากเดินไปมหาวิทยาลัย

สุดท้ายผมเลยตัดสินใจว่าจะซื้อแล็ปท็อปสักเครื่องหนึ่งเพื่อเอามาใช้ทำงาน ด้วยเงินน้ำพักน้ำแรงที่เก็บมาสองปีคาดว่าน่าจะหาซื้อมือสองยี่ห้อทั่วไปอย่าง Dell, Acer หรือ Compaq ก็พอได้อยู่

แต่…มันมีแล็ปท็อปตัวหนึ่งที่เล็งเอาไว้คือ Apple PowerBook G4 ที่มาพร้อมกับ 256 MB RAM, 40 GB hard drive แถมยังมีเครื่องอ่าน CD-RW/DVD-ROM มาด้วย คือเห็นเพื่อนคนอื่น ๆ ใช้ก็อยากได้บ้าง ประมาณนั้น

เปิดตัวเมื่อปีก่อนเครื่องใหม่อยู่ที่ราว ๆ 2,300 เหรียญ แม้รู้สึกเลยว่ามันเกินเอื้อม แต่อยากได้สุด ๆ และด้วยความใสซื่อ ไม่เคยซื้อของออนไลน์มาก่อน ตอนนั้นก็ลองดูหลาย ๆ ที่ หา Google ก็ไปเจอเว็บไซต์หนึ่งชื่อว่า ‘Craiglist’ ซึ่งเป็นเหมือนกระดานโพสต์เรื่องต่าง ๆ (อารมณ์คล้ายพันทิป) แต่ก็จะมีคนโพสต์ขายของด้วย

ระหว่างที่ค้นก็เจอ Apple PowerBook G4 บ้าง ส่วนใหญ่ก็ขายมือสองกันราว 1600-1800 เหรียญ ซึ่งเกินงบไปหน่อย ยี่ห้ออื่น ๆ ก็ไม่เจอที่อยากได้


หลายวันผ่านไป ผมก็ไปเจอ “Apple PowerBook G4” เครื่องมือสอง สภาพใหม่ (จากในรูป) คนขายบอกว่าซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ ไม่ค่อยถนัด ใช้ Windows มากกว่าเลยอยากขาย ด้วยราคา 850 เหรียญ ตาลุกวาว! ตื่นเต้นตกใจเลย “เฮ้ยยย…เงินพอด้วย เฮ้ยๆๆๆๆ” ตื่นเต้นมาก ในโพสต์มีอีเมลของคนขายบอกว่าถ้าสนใจก็ทักไป ผมส่งอีเมลไปทันทีเลย

ไม่เกินห้านาทีก็ได้อีเมลตอบกลับมา เขาบอกว่าของยังมีอยู่ สภาพสวยมาก ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไมก็เลยขายดีกว่า (อ่านมาถึงตรงนี้ใจเต้นตึ๊ก ๆ) แต่ผมต้องโอนเงินไปผ่าน “Western Union” ซึ่งเป็นบริษัทโอนเงินระหว่างประเทศไปให้เขาเพราะตอนนี้เขาและของอยู่ที่เยอรมัน แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวได้เงินแล้วจะรีบส่งให้ทันทีเลย พร้อมทั้งให้รายละเอียดว่าต้องโอนยังไงมาให้เรียบร้อย

จังหวะนี้หลายคนอาจจะคิดแล้วว่าผมนี่มันใสซื่อจริง ๆ ค่อนข้างไปทางซื่อบื้อด้วยอีกต่างหาก

มองย้อนกลับไปจากตรงนี้ ผมก็เป็นอย่างนั้นแหละ (อ่าาาาา…ช่วงวัยเยาว์แห่งความเขลา)

ผมรีบไปกดเงินสดจากตู้ ATM ไปหาสาขาของ Western Union พร้อมโอนเงินไปให้ ‘ใครก็ไม่รู้’ ออนไลน์ เพราะหวังว่าจะซื้อแล็ปท็อปที่ตัวเองหมายปองในราคาแสนถูก ส่งอีเมลไปแจ้ง เขาก็ตอบกลับมาทันทีเลยว่า เดี๋ยวแพคของแล้วส่ง Tracking ให้พรุ่งนี้

วันต่อมาก็มีอีเมล Tracking ก็มาจริง ๆ ครับ เป็นของขนส่ง UPS ซึ่งผมก็ตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ

วันแรกผ่านไป ผมเข้าไปเช็ค Tracking ในระบบ UPS แจ้งว่าหมายเลข Tracking ยังไม่มีในระบบ นี่เป็นสัญญาณเตือนแรก แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่า ระบบมันอาจจะล่าช้า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยลองใหม่ ไม่ได้มีความคิดเลยว่าจะถูกโกงในหัว

วันที่สอง ระบบก็ยังหาเลข Tracking ไม่เจอ เริ่มไม่สบายใจ

วันที่สาม ก็ยังไม่มีอัพเดต ไม่มี Tracking ในระบบอีก เอาแล้วไง ผมส่งเมลไปถามคนขาย ครั้งนี้เขาไม่ตอบทันที คิดในหัวว่าคงยุ่งแหละ รอพรุ่งนี้ละกัน

วันต่อมาไม่มีเมล Tracking ไม่ขึ้น ตอนนี้ ผมเริ่มคิดแล้วว่าตัวเองน่าจะถูกโกง (Scam) อย่างแน่นอน ในใจเต้นตึ๊ก ๆ ด้วยความรู้สึกสับสน โกรธ เครียด ไม่รู้เลยว่าควรทำยังไงต่อ ผมส่งเมลไปอีกรอบ อีกรอบ และอีกรอบ ทั้งอ้อนวอน ทั้งด่า ทั้งบอกว่ามันเป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายของตัวเอง แต่ก็ไม่มีอีเมลตอบกลับมาแต่อย่างใด

ส่งเมลไปหาเจ้าของเว็บไซต์ Craiglist เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้คำตอบแค่ว่า ‘ขอโทษด้วยนะที่เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่เราไม่สามารถช่วยอะไรได้จริง ๆ เดี๋ยวจะปิดบัญชีนั้น’

และสุดท้ายผ่านไปสองอาทิตย์ หลังจากที่โอนเงินซื้อ ‘PowerBook ทิพย์’ ผมก็ยอมรับความพ่ายแพ้และเรียนรู้ว่าตัวเองนั้นตกเป็นเหยื่ออันโอชะของนักต้มตุ๋นออนไลน์ไปแล้วเรียบร้อย เงินที่หามาอย่างยากลำบากสองปีหายไปแล้วอย่างไม่มีทางกลับมา

และนี่คือ 3 บทเรียนราคาแพงเปิดโลกของเด็กหนุ่มซื่อบื้อคนนี้

1. ของถูกและดีนั้นมักไม่มีอยู่จริง

อะไรก็ตามในโลกใบนี้ ถ้ามันดีมักจะไม่ถูก ถ้ามันถูกมักจะไม่ดี หรือ ไม่มีอยู่จริง เพราะฉะนั้นถ้าเห็นของชิ้นหนึ่งที่ถูกกว่าที่อื่น ๆ อย่างชัดเจนให้ตั้งธงไว้ก่อนเลยว่า ‘มันอาจจะไม่มีอยู่จริง’

2. ซื้อของมือสองออนไลน์ ถ้าไม่ได้ผ่านตัวกลางที่ถอนเงินคืนได้ เป็นแพลตฟอร์ม หรือ มีอะไรการันตี ต้องเจอตัวเท่านั้น

ที่จริงเรื่องการหลอกขายของออนไลน์ตอนนี้ก็ยังมีเกิดขึ้นตลอด (อย่าง FB Groups หรือ Marketplace ก็เห็นบ่อย ๆ) ขอเตือนว่าอย่าโอนเงินก่อนเห็นหรือจับของจริง ๆ ถ้าเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถเอาเงินคืนได้หรือมีคนรับรอง

3. การด่าตัวเองว่าโง่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นและไม่ได้ทำให้เงินที่เสียกลับคืนมา

ผมโกรธตัวเองไปนานมาก รู้สึกเฟลกับตัวเองและความงี่เง่าที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะตกเป็นเหยื่อง่าย ๆ แบบนี้ รู้สึกโกรธตัวสั่น อายไม่กล้าบอกใคร เครียดจนกลางคืนนอนไม่หลับ มีหลับ ๆ แล้วสะดุ้งตื่นด้วย กินข้าวไม่ลง อารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา เป็นอย่างนั้นเกือบเดือนกว่าจะเริ่มดีขึ้น และที่ดีขึ้นก็เพราะเริ่มคิดได้ว่าโกรธตัวเองไปก็เท่านั้น ยังไงก็ไม่ได้เงินคืน เราควรยกโทษให้ตัวเองได้แล้ว และใช้มันเป็นบทเรียนในอนาคตดีกว่า

ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาผมเข้าใจแล้วว่าโลกใบนี้มีคนหลายแบบ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนเป็นคนไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่าไม่ใช่ทุกคนเป็นคนดีเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นการวางใจ ‘ใครก็ไม่รู้’ ออนไลน์เป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้วในบริบทปกติทั่วไป แล้วยิ่งถ้าเป็นเรื่องเงิน ซื้อขายของ หรือลงทุนอะไรต่าง ๆ นานา ยิ่งควรคิดตรึกตรองให้เยอะ ๆ เลยครับ