ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา แนวคิดทางการเงินแนวคิดหนึ่งที่ได้รับการยกย่องกันอย่างมาก ก็คือ แนวคิดของการมีอิสรภาพทางการเงิน หรือ Financial Freedom
โดยคนเราจะมีอิสรภาพทางการเงินได้ก็ต่อเมื่อ เรามีรายได้จากทรัพย์สิน (หรือ Passive Income) มากกว่ารายจ่ายรวม (Total Expense)
ซึ่งทรัพย์สินที่ว่านี้ ก็ได้แก่ ธุรกิจที่ไม่ต้องลงมือทำเอง (ให้กำไร/ปันผล) อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า (ให้ค่าเช่า) ทรัพย์สินทางปัญญา (ให้ค่าลิขสิทธิ์) หุ้น (ให้เงินปันผล) และตราสารทางการเงินต่างๆ (ให้ดอกเบี้ย) ซึ่งให้ดอกให้ผลให้เราเก็บกินเป็นประจำทุกเดือนทุกปี
ประเด็นก็คือ เมื่อแนวคิดนี้ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ก็เริ่มมีการพูดถึงกันแบบผิดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากเหล่าวิทยากรที่รู้ไ่ม่จริง (ไม่เคยมี แต่เสือกพูดซะเก่งเลย) หรือจากธุรกิจบางกลุ่ม บางประเภท ที่อ้างว่าทำแล้วได้ Passive Income ง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก ทำแล้วสบายไปตลอดชาติ
วันนี้ผมในแฐนะ (... ฐานะ) ที่เป็นคนหนึ่งซึ่งคลุกคลีอยู่กับแนวคิดนี้ของโรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้เขียนหนังสือขายดี พ่อรวยสอนลูก มาตั้งแต่เริ่มต้น แถมยังเป็นคนหนึ่งที่มีอิสรภาพทางการเงินจริงๆ จาก Passive Income มาร่วม 8 ปีแล้ว เลยอยากมาเล่า มาแบ่งปันวิธีคิดผิดๆที่คนส่วนใหญ่หลงเชื่อกัน เพื่อให้ท่านผู้อ่านพิจารณา จะได้ไม่ต้องหลงทางเสียเวลาไปกับความเชื่อผิดๆเหล่านี้
ถ้าพร้อมแล้ว ... เรามาลุยกันทีละข้อไปเลยนะครับ
1) PASSIVE INCOME เป็นเรื่องง่ายๆ
จะว่าไปข้อนี้แม่งก็ทั้งถูกและผิด (แต่ผิดมากกว่า) อย่าง Passive Income ที่ได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมาก ก็มีนะ “เงินฝาก” ยังไงหละ แค่วางเงินไว้ก็ได้ดอกเบี้ยแล้ว แต่พอกินหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้นะ
โลกนี้ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถมนุษย์ แต่ก็ไม่มีอะไรง่ายหรือหมู จนไม่ต้องมีความรู้ความเข้าใจอะไรเลยแล้วจะได้มันมาง่ายๆ (ไม่งั้นก็รวยกันหมดแล้วสิ) ไม่เชื่อก็ดูรายชื่อทรัพย์สินอื่นๆ ที่ให้ Passive Income สิ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สินทางปัญญา หุ้น เหล่านี้ล้วนแต่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางและการลงทุนลงแรงทั้งสิ้น
ดังนั้น ถ้าอยากได้รายได้จากทรัพย์สิน สิ่งแรกที่ต้องคิดไว้ก่อนเลยก็คือ มันต้องลงทุนเวลาในการศึกษาหาความรู้ให้มาก อีกทั้งยังต้องลงมือทำลงมือปฏิบัติให้มากด้วย มันถึงจะเกิดผลและเป็น Passive Income ขึ้นมาได้
อย่าเผลอไปหลงเชื่อการลงทุนหรือธุรกิจหลอกลวง ที่บอกว่าแค่วางเงินไว้ แล้วปล่อยให้เงินทำงาน ลองคิดโง่ๆง่ายๆก็ได้ครับว่า โลกนี้มีคนจนมากกว่าคนรวย แล้วถ้าการลงทุนที่สร้างรายได้จากทรัพย์สินมันง่าย แค่เอาเงินจากหยาดเหงื่อแรงงานเราไปวางไว้แล้วได้เลย แบบนี้สถิติคนจนคนรวยในโลกก็น่าจะกลับกัน ไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่หรอกจริงมั้ย
2) มี PASSIVE INCOME แล้วสบาย ไม่ต้องทำอะไรก็ได้เงินทุกเดือน
อันนี้ตลกเลยครับ และรู้เลยว่าคนที่พูดไม่ได้มี Passive Income จริง ทั้งนี้เพราะไม่ว่าจะธุรกิจ บ้านเช่า หุ้น หรือลิขสิทธิ์หนังสือ คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินเหล่านี้ ต่างก็ยังต้องทำงานด้วยกันทั้งนั้นครับ
มีธุรกิจ ... แม้จะให้ลูกจ้าง หรือ Outsource ทำงานให้ ก็ยังต้องแบ่งเวลามาบริหารจัดการ พบปะลูกค้า แก้ไขปัญหาสำคัญๆ ฯลฯ
มีบ้านเช่า ... ก็ต้องคอยเก็บตังค์ ผู้เช่ามีปัญหาก็ต้องคอยจัดการให้ หรือถ้าย้ายออก ก็ได้ปรับปรุงปรับแต่งห้องกันยกใหญ่
มีลิขสิทธิ์ ... ก็ต้องคอยบริหารลิขสิทธิ์และผลประโยชน์ตัวเอง เผลอๆมี Personal Ads ทำโฆษณาช่วยโปรโมทงานตัวเองอีกในตัว
หรือถ้ามีหุ้น ... ก็ต้องคอยจัด คอยปรับพอร์ต เพิ่มหุ้น ลดหุ้น เพิ่มลดสัดส่วนการลงทุน อีกจิปาถะ
ดังนั้น มี Passive Income แล้วไม่ต้องทำงานเลย ก็คงไม่ใช่ ยังต้องทำงานอยู่ เพียงแต่ทำน้อยลงไปเยอะ ที่เป็นเช่นนี้เพราะก่อนที่เราจะได้รายได้จากทรัพย์สินนั้น เราทำงานมาหนักและมากพอแล้ว (ดังที่อธิบายในข้อ 1)
อย่าเผลอเอานิสัยขี้เกียจและรักสบายออกนอกหน้า ระวังจะถูกพวกสิบแปดมงกุฎหลอกกินเงินเอาง่ายๆครับ
3) ทรัพย์สินที่ให้ PASSIVE INCOME จะทำเงินให้เราไปตลอดชาติ
สิ่งที่คนไม่เคยมี Passive Income ยังไม่รู้และไม่เข้าใจ ก็คือ ทรัพย์สินใดๆในโลกล้วน DYNAMIC นั่นคือ มีขึ้น มีลง มีเติบโต มีตกต่ำ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งหมดท้ังปวง (สาธุ)
ธุรกิจที่เคยทำเงิน วันหนึ่งก็กลายเป็นธุรกิจที่ล่มสลายได้ (ลองดูการตกต่ำและจากไปของโกดัก โนเกีย และแบล็คเบอรี เป็นตัวอย่าง)
บ้านเช่าที่เคยมีคนอยู่อาศัยไม่เคยขาด วันหนึ่งก็อาจร้าง ไม่มีผู้เช่าได้เหมือนกัน (กรณีบ้านเช่าย่านนิคมลำพูน เมื่อเร็วๆนี้ คือ เครื่องยืนยัน)
ลิขสิทธิ์เพลง หนังสือ ที่เคยได้รับความนิยม วันหนึ่งก็มีคนลืม ไม่ซื้อ ไม่โหลด
หุ้นที่เคยปันผล วันหนึ่งก็อาจกิจการไม่ดี ไม่ทำกำไร เมื่อไม่ทำกำไรจะเอาเงินที่ไหนมาปันผลละครับพี่
ไม่มีอะไรที่ทำครั้งเดียวแล้วสบายไปตลอดชาติหรอก มันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเสมอ ดังนั้นอย่าเผลอติดกับดักโง่ๆ แบบนี้ การรู้เท่าทันในทรัพย์สินที่เราลงทุนต่างหาก คือ สิ่งที่ช่วยให้เรามั่งคั่งและมั่นคงได้จริง
4) PASSIVE INCOME ดีกว่า ACTIVE INCOME
นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ชอบเถียงกัน พาลกันไปถึงเรื่องที่ว่าเป็นพนักงานประจำนั้นไม่ดี เพราะเงินเดือนน้อย แถมยังเป็นรายได้ที่มาจากการทำงานเสียด้วย (Active Income) เลยยิ่งดูเลวร้ายไปกันใหญ่
จากเหตุผลของความ Dynamic ของทรัพย์สินตามที่ได้อธิบายแล้วในข้อ 3 ดังนั้น ปัญหามันจึงไม่ได้อยู่ที่รายได้แบบไหนดีกว่า ที่สำคัญมันอยู่ที่ว่า ...
“คุณมีรายได้หลายทางหรือเปล่า และรายได้หลายทางที่ว่านั้น ผสมผสานทั้ง Active และ Passive หรือไม่”
เพราะถ้ามีแต่ Active Income ก็ต้องเหนื่อยไปตลอด แต่ถ้ามี Passive Income แค่แหล่งเดียว มันก็หมด ก็หายได้เหมือนกัน
โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบ Active Income ที่แม้มันจะเหนื่อยสักห