การลงทุนใน “กองทุนรวม” จัดว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีกว่า การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาในการติดตามสินทรัพย์ทางการเงินแบบรายตัว มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญภายใน บลจ. คอยดูแลเงินลงทุนให้เรา แถมสภาพคล่องของกองทุนรวมก็เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ภายในไม่กี่วันอีกด้วย ดีจังเลย!

 

 

เลือกจัดพอร์ตด้วยกองทุนรวมแบบไหนดีล่ะ?

 

หลายๆ คนจะให้ความสำคัญกับผลประกอบการของกองทุนรวม เพราะยิ่งเห็นผลตอบแทนดี ยิ่งแปลว่าเงินลงทุนของนักลงทุนก็จะเติบโตตาม นักลงทุนส่วนใหญ่จึงเฟ้นหากองทุนรวมที่ตนเองต้องการตามอินเทอร์เน็ต นิตยสารการเงิน หรือตามคำชี้แนะของผู้อื่น โดยเลือกมองผลประกอบการในระยะสั้น และความนิยมของกองทุนรวมนั้นเป็นหลัก

แต่ผลประกอบการในอดีตของกองทุนรวมไม่ได้สำคัญมากเท่าที่หลายๆ คนคิด เพราะมันไม่ได้การันตีความสำเร็จของกองทุนในอนาคต ก็จริงอยู่ที่ผลตอบแทนเป็นปัจจัยหลักของการลงทุน แต่เราต้องมองการลงทุนไปในระยะยาว อย่าเอาเรื่องเดียวมาตัดสินอนาคตเลยฮะ

และมักจะมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องสำหรับการเลือกลงทุนในกองทุนรวมมาเกี่ยวข้องด้วย!!

 

ในครั้งนี้ “นายปั้นเงิน” อาสาพาทุกท่านที่สนใจการจัดพอร์ต Asset Allocation ด้วยกองทุนรวม ไปรู้จัก 5 สิ่งที่ควรรู้ นอกเหนือจากผลประกอบการของกองทุนในอดีต ก่อนจะตัดสินใจจัดพอร์ตการลงทุนกันครับ

 

 

รู้เป้าหมายการลงทุนของตนเอง

 

"5 เรื่องต้องรู้!!! กับการจัดพอร์ต Asset Allocation ด้วยกองทุนรวม"

สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนจะจัดพอร์ตการลงทุน คือเราต้องรู้วัตถุประสงค์ของการลงทุน ว่าลงทุนเพื่ออะไร ระยะเวลาของเป้าหมาย เช่น เพื่อการออมเงิน เพื่อเป็นการเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว เพื่อใช้ในการเกษียณ เพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาบุตร เป็นต้น

ถ้ารู้เป้าหมายแล้วการเลือกกองทุนก็จะใช้ปัจจัยเรื่องของระยะเวลาการลงทุน ความเสี่ยง และผลตอบแทนมาพิจารณาตามลำดับ

ยิ่งเป้าหมายมีความสำคัญและรับความเสี่ยงได้น้อย อย่างเช่นเงินทุนการศึกษาบุตรที่จะใช้ในระยะสั้น นักลงทุนก็ไม่ควรจะนำเงินที่มีอยู่ไปลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงในสัดส่วนที่มาก แนะนำเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ จะดีกว่าฮะ

 

 

ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น

 

"5 เรื่องต้องรู้!!! กับการจัดพอร์ต Asset Allocation ด้วยกองทุนรวม"

กองทุนรวมจะมีการคิดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆในการบริหารจัดการกองทุนกับนักลงทุนอยู่เสมอ ยิ่งกองทุนรวมที่ให้ผลตอบแทนสูง ก็จะยิ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ากองทุนที่ให้ผลตอบแทนในตลาดที่ต่ำกว่า

เพราะทีมบริหารจะคิดค่า Performance ของการบริหารเงินลงทุน หากกองทุนไหนมีกลยุทธ์ซับซ้อน แต่ให้ผลตอบแทนดี ก็จะมีค่าธรรมเนียมการบริหารแพงกว่ากองทุนอื่นๆ

บางครั้งค่าใช้จ่ายที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยของแต่ละกองทุน ก็อาจส่งผลให้เกิดความแตกต่างของผลตอบแทนได้ในระยะยาวได้เหมือนกัน

ยกตัวอย่างง่ายๆ นะฮะ สมมติว่าคุณลงทุน 10,000 บาท ในกองทุน AA ที่ให้ผลตอบแทนก่อนหักค่าใช้จ่าย 10% ต่อปี โดยมีค่าธรรมเนียมในการบริหารรายปี 1.5% เมื่อเวลาผ่านไป 20 ปี เงินก้อนนั้นก็จะเติบโตเป็น 49,725 บาทโดยประมาณ หากกองทุน AA คิดค่าธรรมเนียมเพียงแค่ 0.5% เงินก้อนนั้นจะเติบโตเป็น 60,858 บาท โดยประมาณ

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ค่าธรรมเนียมของกองทุนที่ต่างกันเพียงนิดเดียวนี่แหละ สามารถส่งผลให้เห็นความต่างของผลตอบแทนในระยะยาวเลยล่ะครับ เลือกกองทุนที่มีผลประกอบการและค่าธรรมเนียมการบริหารที่สมน้ำสมเนื้อกันหน่อย จะได้รู้สึก win-win กันทั้งสองฝ่าย อิอิ

 

 

ระยะเวลาและขนาดของกองทุนรวม

 

"5 เรื่องต้องรู้!!! กับการจัดพอร์ต Asset Allocation ด้วยกองทุนรวม"

ก่อนจะตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม นักลงทุนควรศึกษา Fund Fact Sheet หรือหนังสือชี้ชวน เพื่อจะได้รู้ว่า กองทุนที่กำลังสนใจอยู่นั้น เปิดทำการมาเป็นระยะเวลานานแค่ไหน และขนาดของกองทุนนั้นใหญ่โตมากน้อยเท่าไหร่แล้ว

บางครั้งกองทุนรวมที่ออกมาใหม่ หรือ กองทุนขนาดเล็กบางกอง ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะสั้น เพราะกองทุนเหล่านี้ลงทุนได้ในปริมาณที่จำกัด เนื่องจากขนาดของกองทุนโดยรวมยังเล็กอยู่ เมื่อหุ้นหรือตราสารบางตัวที่ได้ลงทุนไป เกิดผลกำไรที่โดดเด่น ก็จะส่งผลให้เกิดภาพรวมที่ดีของกองทุนรวมนั้นได้

แต่เมื่อกองทุนเหล่านี้เติบโตและมีขนาดใหญ่ขึ้น จำนวนของสินทรัพย์ที่ได้ลงทุนไปจะมีมากขึ้น ดังนั้นสัดส่วนของหุ้นที่ได้ผลกำไรก็จะมีขนาดเล็กลง ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของกองทุนรวมน้อยลง มันจึงเป็นการยากที่จะรักษาผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอตั้งแต่ระยะแรกจนถึงระยะยาวได้

กองทุนรวมที่ดีสามารถวัดได้จากจากระยะเวลาที่เปิดทำการ และขนาดของกองทุน เพราะทีมบริหารกองทุนรวมเก่งๆจะรักษาผลประกอบการของกองทุนให้ดีได้สม่ำเสมอ หรืออย่างน้อยก็ทำผลตอบแทนชนะ Benchmark ทุกปีได้

 

 

ความเสี่ยงและความผันผวนของผลประกอบการ

 

นักลงทุนควรเข้าใจในความเสี่ยงกองทุนรวม โดยดูจากหนังสือชี้ชวนการลงทุนที่จะบอกถึงระดับความเสี่ยงของกองทุน และกลยุทธ์ในการลงทุน เพื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจของนักลงทุน

 

กองทุนรวมที่อยู่ในระดับความเสี่ยงสูง มีโอกาสที่จะมอบผลตอบแทนที่สูงขึ้นให้กับนักลงทุนได้ แต่การเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงไม่เหมาะกับตัวนักลงทุนเอง ก็สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ลงทุนเอง 

ยกตัวอย่างเช่น ความผันผวนของผลประกอบการก็ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนเช่นกัน กองทุนรวมหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก ก็จะมีความผันผวนของร&#

นายปั้นเงิน

นายปั้นเงิน

GURU aomMONEY ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในสไตล์ Asset allocation

Related Story