วันนี้คนที่มีลูกส่วนใหญ่ที่มีความรอบคอบก็มักจะเปิดบัญชีเก็บเงินให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก บางคนเก็บเงินให้เค้าตั้งแต่คลอดเลยก็มี ซึ่งพ่อแม่ที่ตั้งใจเก็บเงินให้ลูกนั้น ก็คงคิดคล้ายๆกันว่า วันนึงเค้าโตขึ้น ถ้าเค้าอยากเรียนต่ออะไร ก็ได้มีเงินก้อนส่งเสียเค้าต่อ หรือ บางคนอาจจะให้เป็นรางวัลเมื่อเรียนจบ เช่น ซื้อรถให้ หรือ ให้เงินไว้เปิดกิจการ ก็เป็นไปได้

ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่ก็มักจะเก็บเงินให้กับลูกน้อย ผ่านทางบัญชีธนาคาร แล้วก็ฝากให้เค้าทุกๆ เดือน หรือ ทุกๆปี หรือหากบางคนมีความรู้การเงินการลงทุนเยอะหน่อยก็อาจจะเปิดพอร์ตเป็นหุ้น หรือ กองทุนรวมไว้ ก็เริ่มมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะ คนที่ชอบการลงทุนก็มักจะคิดว่า ถ้าลงทุนยาวๆ ก็จะพอรับความเสี่ยงได้มากขึ้น

แต่ไม่ว่าสินค้าการเงินอะไร ที่เราจะลงทุนหรือจะเก็บเงินให้ลูกนั้น ก็จะมีจุดเด่นในตัวสินค้าการเงินนั้นๆ อยู่แล้ว เช่น ถ้าเก็บในธนาคาร ข้อดีคือ ความเสี่ยงต่ำ แถมสภาพคล่องสูง ถ้ามีเหตุฉุกเฉิน ยังสามารถเอาออกมาใช้ก่อนได้ แต่ข้อเสียก็คือ ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ อาจจะน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อเสียด้วย แถมอาจจะไม่มีวินัยการออมที่ต่อเนื่องได้

หรือ ถ้าเก็บในกองทุนหรือหุ้น ข้อดี คือ มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว แถมก็มีสภาพคล่องสูงพอประมาณ เพราะสามารถไถ่ถอนหรือขายคืน เอาเงินออกมาใช้ก่อนก็ได้เช่นกัน แต่ข้อเสียคือ มีความเสี่ยงที่สูง ซึ่งหากเราไม่มีความรู้สินค้าประเภทนี้มากพอ หรือไม่ติดตามบ่อยๆ ก็อาจจะขาดทุนได้

ดังนั้นในเมื่อไม่มีสินค้าการเงินตัวไหนเลยที่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ คุณพ่อคุณแม่ที่อยากจะเก็บเงินให้กับลูกน้อยๆ จึงควรต้องผสมผสานด้วยสินค้าการเงินที่หลากหลาย ซึ่งวันนี้จึงขอแนะนำทางเลือกเพิ่มเติมของการจะเก็บเงินให้กับลูก อีกวิธีนึง ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าการเงินที่มีประโยชน์หลายจุดมากๆ ที่ไม่เหมือนสินค้าการเงินอื่นๆ และ ควรอย่างยิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกๆคน จะแบ่งเงินมาใช้ทางเลือกนี้เพิ่มขึ้น  

ซึ่งวิธีการออมวิธีก็คือ “การเก็บเงินให้ลูก โดยผ่านทางกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์”  โดยวิธีการนี้ มีจุดเด่นอยู่หลายข้อด้วยกันที่ ดูจำเป็นและดูมีความสำคัญมากๆกับทุกครอบครัว  ซึ่งมีทั้งหมด 5 ข้อ ด้วยกันดังนี้

1. ความมีวินัย

ข้อนี้ถือเป็นข้อที่สำคัญที่สุดของการเก็บออม เพราะเป็นข้อของคนที่จะล้มเหลวทางการเงินส่วนใหญ่จะเป็น ดังนั้นการจะทำอย่างไร ให้เราสามารถเก็บออมได้อย่างต่อเนื่อง ทุกๆเดือน ทุกๆปี นั้นต้องถือเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะถ้าเรายังไม่มีระบบการเก็บเงินให้กับตัวเองอย่างดีพอ ก็ยากที่คนจะสามารถเก็บเงินให้ตัวเองได้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอไปจนถึงอายุ 60 ปี ซึ่งแต่แบบประกันสะสมทรัพย์ส่วนใหญ่จะเป็นระบบที่บังคับให้ผู้เอาประกันเก็บเงินอย่างต่อเนื่อง โดยมักจะมีสัญญาบังคับ 15-20 ปี หรือบางทีอาจจะได้คืนถึงอายุ 99 ปี ก็ได้  ซึ่งอย่างน้อยแบบประกันสะสมทรัพย์ก็จะมีใบเตือนมาถึงลูกค้ามาทุกๆงวด ทำให้เราสามารถจะมีการเก็บเงินได้อย่างสม่ำเสมอๆ

2. มีความแน่นอนของจำนวนเงินที่ได้รับ

เพราะ แบบประกันสะสมทรัพย์นั้นจะมีการกำหนดทั้งเบี้ยที่ต้องชำระ และระบุทุนประกันคุ้มครอง ตั้งแต่วันที่ซื้อกรมธรรม์เรียบร้อยแล้ว โดยยังมีการกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าด้วยว่าต้องชำระเบี้ยประกันกี่ปี แล้วระหว่างสัญญา มีเงินคืนเท่าไหร่ต่องวด แล้วทั้งโครงการมีทั้งหมดกี่งวด และสุดท้ายคือ การคืนเงินจากโครงการรวมทั้งหมดเท่าไหร่ ส่วนต่างผลตอบแทนเท่าไหร่ ก็สามารถทราบได้ทันที ซึ่งถือว่าเป็นสินค้าการเงินชนิดเดียวที่รู้ผลประโยชน์รวมว่าได้ทั้งหมดเท่าไหร่ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มโครงการ

3. มีความคุ้มครองชีวิตของลูกน้อยด้วย

ซึ่งข้อนี้หลายๆคนที่ตั้งใจเก็บออมให้ลูกผ่านทางแบบประกันชีวิตนั้น มักจะไม่สนใจความคุ้มครองในตัวของลูก เพราะคิดว่าลูกเราอายุยังน้อย คงไม่น่าจะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับลูกตอนนี้หรอก แต่บางทีความสูญเสียที่ไม่คาดคิดนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัวเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากข่าวบ่อยๆ เช่น เสียชีวิตจากการไปรับน้องต่างจังหวัด หรือ กรณีล่าสุดที่อุบัติเหตุรถตู้คว่ำและไฟไหม้ ซึ่งหนึ่งในผู้เสียชีวิตกำลังศึกษาแพทย์อยู่เลยก็มี ซึ่งถ้าลองคำนวณว่าลูกคนนึงกว่าจะเรียนจบปริญญาตรี ต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่ถ้าต้องจากไปก่อน ก็เท่ากับว่า ต้นทุนที่พ่อแม่ช่วยกันส่งเสียลูกจนโต ก็กลายเป็นศูนย์ไปเปล่าๆ ดังนั้นหากลูกยังมีทุนประกันบ้าง ก็น่าจะเป็นการเยียวยาความสูญเสียให้ลดลงไปได้บ้าง

4. มีความคุ้มครองในส่วนของผู้ปกครองให้ด้วย

ซึ่งข้อนี้ถือว่าเป็นข้อที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดเด่นที่ดีที่สุดที่สินค้าการเงินอื่นๆไม่มี เพราะ ผลประโยชน์ข้อนี้คือการที่ผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ ถ้าซื้อสัญญาเพิ่มเติมคุ้มครองผู้ชำระเบี้ย (เบี้ยประกันคิดตามอายุของผู้ปกครอง อายุลูก และระยะเวลาการชำระเบี้ย) แล้ว หากเกิดเหตุไม่คาดฝันกับผู้ที่ชำระเบี้ย (พ่อหรือแม่) ไม่ว่าจะเป็นเสียชีวิตหรือพิการทุพพลภาพเมื่อไหร่ บริษัทรับประกันจะเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันของกรมธรรม์แบบสะสมทรัพย์ฉบับนี้ต่อไปแทน (ลูกค้าไม่ต้องจ่าย) เท่ากับว่าผลประโยชน์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเงินคืนต่างๆ จะยังถูกจ่ายคืนให้กับลูกน้อยเหมือนเดิม ซึ่งไม่มีสินค้าการเงินตัวอื่นทำแบบนี้ได้ คือ ถ้าไม่มีการออมเงินต่อ เงินก็คืนให้เท่ากับที่เคยออมมาแค่นั้น

5. ผลตอบแทนไม่เสียภาษี

ข้อนี้คือข้อได้เปรียบเล็กน้อยถ้าเทียบกับการเก็บเงินให้กับลูกผ่านทางธนาคาร เพราะ การเก็บออมผ่านทางสินค้าประกันชีวิตนั้นจะได้รับการยกเว้นภาษี ไม่ว่าจะเป็นเงินคืนตามเงื่อนไข หรือ เงินคืนเมื่อตอนครบสัญญา แต่ถ้าเป็นการฝากธนาคาร ดอกเบี้ยที่ได้รับ ยังต้องเสียภาษีอีก 15% อีกด้วย