ถ้าเกาะติดวงในและติดตามข่าวสารวงการการเงินแบบติดขอบสนาม เราจะเห็น กูรูวงการการเงินทยอยเขียนบทความเกี่ยวกับ Blockchain กันออกมาในสัปดาห์ที่ผ่านมา แถมคนยังกระหน่ำแชร์บทความดังกล่าวทำให้คำว่า Blockchain เริ่มผ่านสายตาทุกคนมากขึ้น หลายคนคงสงสัยว่าทำไมคนวงการการเงินถึงตื่นตัวเรื่อง Blockchain กัน? เทคโนโลยีตัวนี้มีดีอะไร? และ เราจะได้ประโยชน์อะไรจาก Blockchain?

1. Blockchain คือเทคโลยีที่จะเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์วงการการเงิน

ครึ่งหนึ่ง Iphone เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนวิถีชีวิตพวกเราไปตลอดกาล ครั้งนี้เหตุการณ์คล้ายๆกันจะเกิดขึ้นกับวงการการเงิน เพราะเทคโนโลยีอย่าง Blockchain กำลังสั่นคลอนระบบเก่าแก่อย่างเช่นธนาคารที่ทำหน้าที่ตัวกลาง ตั้งแต่เกิดมาชีวิตเราก็เกี่ยวพันกับธนาคารจนแทบนึกภาพไม่ออกว่าโลกที่ไม่มีธนาคารจะมีหน้าตาอย่างไรกัน ในขณะที่เราเคยชินกับการโอน ถอน ฝากเงินของเรากับธนาคาร มีบุคคลลึกลับนามแฝงชื่อ Satoshi Nakamoto มองเห็นจุดอ่อนของธนาคารเพราะธนาคารจะปิดตัวลงเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วทันทีที่ธนาคารล้ม เงินที่เราฝากกับธนาคารมีสิทธิหายไปทันที แถมยุคนี้ระบบธนาคารโดนเจาะข้อมูลและเปลี่ยนแปลงตัวเลขบัญชีถี่ขึ้น เมื่อธนาคารเริ่มปลอดภัยต่ำลง เขาจึงพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain ที่เป็นเทคโนโลยีที่สร้างเครือข่ายข้อมูล เก็บฐานข้อมูลต่างบนอินเตอร์เนต ซึ่งทุกคนสามารถอัพเดทข้อมูลลงระบบนี้ได้ ซึ่งเมื่อมีใครอัพเดทข้อมูลใหม่ระบบก็จะส่งข้อมูลต่อๆกัน ทีนี้เมื่อข้อมูลทุกอย่างอยู่บนอินเตอร์เนตทุกคนก็ทำธุรกรรมออนไลน์ได้โดยไม่ต้องมีตัวกลางอย่างธนาคารอีกต่อไป

2. โปร่งใสตรวจสอบได้

ถามว่าทุกวันนี้เรารู้กันหรือเปล่าว่าธนาคารที่เราใช้บริการอยู่มีเงินอยู่เท่าไหร่? และเงินที่มีอยู่จริงตรงกับตัวเลขในบัญชีหรือเปล่า? ในขณะที่ทุกวันทุกคนโอนเงินหากัน ซื้อของบ้าง จ่ายค่าสินค้าและบริการบ้าง แต่เรารู้ได้แค่บัญชีของเราเท่านั้น บัญชีของคนอื่นๆถูกเก็บเป็นความลับกันเสมอ มีเพียงธนาคารเท่านั้นที่ทราบยอดการโอนเงินรวม ซึ่งระบบ Blockcahin เปิดเผยข้อมูลตัวเลขทุกอย่างออกมา ทุกคนก็จะรู้ว่ามีเงินอยู่ในระบบเท่าไหร่และเกิดการแชร์ข้อมูลทางการเงินอย่างโปรงใสว่าใครโอนหากันอย่างไรบ้าง เพราะข้อมูลเหล่านี้ถูกรวบรวมเอาไว้ในกระดานกลาง (Cloud Board) ซึ่งเรียกระบบการกระจายข้อมูลว่า Decentralized Network ครับ

แต่ไม่ต้องกลัวนะครับว่าการเปิดเผยแบบนี้เราจะถูกล้วงความลับ เพราะระบบไม่ได้ระบุชื่อว่าผู้ทำธุรกรรมแบบเจาะจง ในกระดานกลางบอกแค่รหัสและจำนวนเงินโดยคนที่มีกุญแจเท่านั้นถึงจะเข้าไปอ่านรหัสได้ 

3. ปลอดภัย ยากแก่การโจรกรรมข้อมูล

ระบบที่ธนาคารเป็นตัวกลางและเก็บข้อมูลทุกอย่างเริ่มปลอดภัยน้อยลงเรื่อยๆ การโจรกรรมข้อมูลเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งและมีหลายครั้งที่โจรกรรมข้อมูลได้สำเร็จด้วยซึ่งการโจรกรรมข้อมูลอันตรายเท่ากับธนาคารโดนปล้นเลยนะครับ เพราะผู้โจรกรรมจะถ่ายโอนเงินของเราไปให้ใครก็ได้ตามใจชอบเลย แต่ระบบ Blockchain เนี่ยเนื่องจากเป็นแบบ Dencentralized Network คือทุกคนต่างถือข้อมูลและส่งผ่านข้อมูลผ่านกันเอง ไม่มีตัวกลางคอยเก็บข้อมูลซึ่งพอมีคนพยายามโจรกรรมข้อมูล ระบบจะรู้แล้วว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น และต่อต้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และการโจรกรรมข้อมูลของ Blockchain ทำได้ยากมาก จะสำเร็จก็ต่อเมื่อ โจรกรรมข้อมูลได้เกิน 50% ของจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบ หรือต้องชนะผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์กว่าหมื่นคน แค่คิดก็ยากแล้ว 

4. ธุรกรรมทางการเงินถูกลงแบบเหลือเชื่อด้วย Blockchain

นอกเหนือจากเรื่องความปลอดภัยแล้ว Blockchain ช่วยให้ทุกคนทำธุรกรรมการเงินได้แบบสบายกระเป๋า เพราะอย่างที่บอกแล้วในตอนต้นว่าข้อมูลที่ส่งหากันนั้นจะเป็นลักษณะ User ต่อ User ไม่มีธนาคารเป็นตัวกลาง เปรียบเทียบให้เห็นภาพเหมือนกับเราเอาเงินสดที่เป็นกระดาษยื่นให้เพื่อน เราก็ไม่เสียค่าธรรมเนียมนะครับ แต่ถ้าเราโอนเงินให้เพื่อนผ่านธนาคาร พอต่างธนาคาร ข้ามเขตก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายทันที ยิ่งโอนข้ามประเทศค่าธรรมเนียมสูงจนหน้ากลัวซึ่งก็เข้าใจ แต่ถ้าเราเอาเงินขึ้นระบบออนไลน์ ทำให้เราทำธุรกรรมการเงินได้แบบ Peer to Peer (บุคคลต่อบุคคล)  การโอนเงินก็ย่อมถูกกว่าเดิมหรือไม่เสียเลยก็ได้เพราะไม่ได้ผ่านธนาคาร

5. เริ่มมีบริษัทใช้ระบบของ Blockchain 

มีกระแสข่าวรอดออกมาทีละเล็กทีละน้อย เผยรายชื่อบริษัทที่เริ่มปรับตัวและใช้ระบบ Blockchain กันบ้างแล้ว ล่าสุดบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการอีคอมเมิร์ซโลกอย่าง Amazon เองเพิ่งจับมือกับ Digital Currency Group ในนิวยอร์คเพื่อพัฒนาระบบการเงินรูปแบบใหม่ หรือในประเทศไทยบริษัท Everex เองก็มองเห็นประโยชน์ของเทคโนโลยี Blockchain และนำมาใช้การปฎิรูปการโอนเงินแบบดั้งเดิมให้มีค่าจ่ายถูกลงโดยเฉพาะกรณีการโอนเงินกลับบ้านของแรงงานต่างชาติ

ลองนึกถึง Iphone ช่วงแรกๆที่ใช้อยู่เฉพาะกลุ่ม พอสาวกกลุ่มแรกใช้แล้วรู้สึกดีก็อยากแนะนำและบอกต่อให้คนอื่นได้ใช้มือถือดีๆบ้าง กรณี Blockchain คงไม่ต่างกัน เมื่อระบบนี้ใช้ดี คนกลุ่มที่รู้ก็อยากเป็นกระบอกเสียงบอกต่อสิ่งดีๆ เพราะระบบนี้จะเปลี่ยนวิถีชีวิตการทำธุรกรรมการเงินของทุกคนไปตลอดการ