ปรากฏการณ์นี้คือส่วนหนึ่งของชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) นั่นเอง
สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางของมาเลเซีย หรือ MARGMA ระบุว่าในช่วงปี 2553-2562 ทั่วโลกมีอัตราการขยายตัวของความต้องการใช้ถุงมือยาง เฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี ยิ่งในช่วงภาวะ Covid-19 แบบนี้ ความต้องการถุงมือทางการแพทย์ก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นถึง 57% จากเหตุการณ์ปกติ โดยปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก มีมูลค่าการส่งออกในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2563 มากถึง 6,355 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือราว 2 แสนล้านบาท) โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศจีน ที่มีอัตราเติบโตถึง 192% เลยทีเดียวครับ ล่าสุดตลาดหุ้นก็ตอบรับการเปลี่ยนแปลงแบบ New Normal นี้เช่นกัน นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับหุ้นถุงมือยางมากขึ้น ดังนั้นวันนี้ aomMONEY ขอแนะนำหุ้น IPO น้องใหม่มาแรงอย่าง “STGT” จาก บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) ที่กำลังน่าจับตามอง ด้วย 7 เหตุผลต่อไปนี้
1. เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และอันดับที่ 3 ของโลก
บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 3 ของโลก โดยแบ่งธุรกิจเป็น 2 กลุ่มคือ ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติ (Latex Glove) ประกอบด้วย ถุงมือยางธรรมชาติชนิดมีแป้ง และถุงมือยางธรรมชาติชนิดไม่มีแป้ง และอีกธุรกิจหนึ่งคือการผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางไนไตรล์ (Nitrile Glove) ที่ผลิตจากน้ำยางสังเคราะห์ มีกำลังการผลิตติดตั้งในปี 2562 รวมทั้งหมด 27,153 ล้านชิ้น ขณะนี้มีโรงงาน 3 แห่งใน จ.สงขลา, สุราษฎร์ธานี และตรัง โดยส่งออกไปจำหน่าย 95 ประเทศทั่วโลก มีการขยายตลาดใหม่ไปยังอินเดีย แอฟริกาใต้ และประเทศในแถบละตินอเมริกา ที่กำลังพัฒนาระบบสาธารณสุขและสุขอนามัยอีกด้วย
2. ผลการดำเนินงานเติบโต 184%
ในปี 2562 บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ฯ มีรายได้รวม 12,224.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.3% และมีกำไรสุทธิ 613.91 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/2563 มีรายได้รวม 3,873.28 ล้านบาท ถือว่าเติบโต 28.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 421.89 ล้านบาท เติบโต 184.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นตัวเลขที่น่าสนใจมากๆ เลยครับ
3.ขยายกำลังการผลิต ตอบโจทย์ชีวิต New Normal
ที่ผ่านมาภาพรวมของอุตสาหกรรมถุงมือยางทั่วโลกนั้นเติบโตมาตลอด โดยในปี 2562 มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 12.2% ต่อปี นับจากปี 2559 ยิ่งตอนนี้มีการขยายตัวของอุตสาหกรรมทางการแพทย์ รวมถึงการระบาดของ Covid-19 และวิถีชีวิตแบบ New Normal อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้ทั่วโลกมีความต้องการใช้ถุงมือยางเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบรับแนวโน้มดังกล่าว ทาง บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ฯ จึงตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งในปีนี้ให้มากกว่า 30,000 ล้านชิ้น ก่อนจะเพิ่มเป็น 50,000 ล้านชิ้นในปี 2568 และ 100,000 ล้านชิ้นในปี 2575 ด้วยเทคโนโลยีระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ ที่ช่วยลดการใช้แรงงานคน ลดความผิดพลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
4.ชื่อเสียงแข็งแกร่ง มีคู่แข่งน้อย
ถุงมือยางของ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ฯ ถือเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงทางการค้าที่แข็งแกร่ง โลดแล่นอยู่ในวงการมากว่า 30 ปี มีสินค้าหลากหลาย ซึ่งทุกอย่างมาจากกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล จึงเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจจากลูกค้า นอกจากนี้ก็ยังมีคู่แข่งในตลาดไม่มากนัก เนื่องจากธุรกิจการผลิตถุงมือยาง จะต้องได้รับใบอนุญาต และใบรับรองมาตรฐาน เพื่อจัดจำหน่ายในประเทศต่างๆ ทำให้ผู้ผลิตรายใหม่มีข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาด
5.บริหารจัดการวัตถุดิบและต้นทุนได้เอง
ทางแบรนด์มีผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในโลก เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน เช่น การกำหนดคุณภาพของน้ำยาง การคิดค้นสูตรน้ำยางข้นรูปแบบใหม่ การสั่งซื้อวัตถุดิบได้ในราคาที่ประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ฯลฯ เรียกได้ว่าสามารถบริหารจัดการได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ
6.ทีมผู้บริหารคือตัวจริงด้านธุรกิจ
ท่ามกลางพิษ Covid-19 ที่หลายกิจการต้องปิดตัว แต่ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ฯ ก็สามารถยืนหยัดฝ่าฟันวิกฤตมาได้ แถมยังมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ด้วยทีมผู้บริหารมากประสบการณ์ และเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ รวมถึงทีมพนักงานที่มีความสามารถ
7. ไม่ละทิ้งความรับผิดชอบต่อสังคม
นอกจากจะเป็นบริษัทใหญ่ที่เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว ก็ยังไม่ทิ้งความรับผิดชอบต่อสังคมเช่นกัน โดยทาง บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ฯ สนับสนุนการจัดกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อน รวมถึงมีการเปิดโอกาสให้ชุมชน สังคม หรือผู้มีส่วนได้เสียที่ได้รับผลกระทบ สามารถเสนอแนะ ร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่างๆ ของบริษัทฯ ได้อีกด้วย

บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ฯ มีทุนจดทะเบียน 1,434,780,000 บาท คิดเป็นจำนวน 1,434,780,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนที่ชำระแล้ว 990,000,000 บาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 444,780,000 หุ้น ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต.แล้ว โดยคาดว่าจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในไตรมาสที่ 3/2563
แบ่งการเสนอขายหุ้น IPO เป็น 4 กลุ่มดังนี้
- เสนอขายแก่บุคคลทั่วไป นักลงทุนสถาบัน และผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 432,780,000 หุ้น
- เสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี และบริษัทย่อย จำนวนไม่เกิน 2,000,000 หุ้น
- เสนอขายแก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ฯ และบริษัทย่อย จำนวนไม่เกิน 10,000,000 หุ้น โดยจะเสนอขาย ณ วัน IPO จำนวนไม่เกิน 4,000,000 หุ้น และส่วนที่เหลืออีก 6,000,000 หุ้นจะถูกเสนอขายในปีที่ 1-2 ภายหลังวัน IPO
- หุ้นที่เหลือจากการจัดสรรในส่วนที่ 2 และ 3 (ถ้ามี) จะเสนอขายแก่บุคคลทั่วไป นักลงทุนสถาบัน และผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ
เรียกได้ว่า "หุ้น STGT" ถือเป็นน้องใหม่ในตลาดหุ้นแบบ New Normal เลยก็ว่าได้นะครับ
แต่ก็ใช่ว่าจะมาไวไปไว เพราะมีความน่าสนใจทั้งตัวผลการดำเนินงานของบริษัท และทั้งแนวโน้มเทรนด์โลกเลยทีเดียว ใครที่อยากเพิ่มหุ้น IPO ของ STGT เข้าไปในพอร์ตการลงทุน ก็สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่ เลยครับ
aomMONEY สัญญาว่าจะนำข้อมูลการลงทุนดีๆ มาฝากกันอย่างต่อเนื่อง
อย่าลืมติดตามนะครับ
บ.ก.aomMONEY
สามารถกด Like เพื่อสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ aomMONEY
ติดตามความรู้ทางการเงินในช่องทางอื่นๆ ได้ที่
.
? Website : www.aomMONEY.com
? Youtube : https://www.youtube.com/AommoneyTH
? กลุ่มกองทุนไหนดี : https://www.facebook.com/groups/SelectedFund/
? aomMONEY Clinic : https://www.facebook.com/groups/aommoneyclinic/
.
สนใจโฆษณาติดต่อ :
? Tel: 092-708-5757 (ตงตง)
? Email: badaraboom@likemeasia.com
.