บทความนี้เป็นบทความแรกที่ผมเขียนขึ้นผ่านมุมมองและประสบการณ์จากการทำงานหนักของตัวเอง นับตั้งแต่วันแรกของการทำงานจนถึงวันนี้ มี 9 เรื่องนี้ที่ผมเน้นย้ำกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งเหล่านี้ คือ "สิ่งที่ผมได้รับจากการทำงานหนัก" ปกติแล้วสไตล์การเขียนบล็อกใน Aommoney.com ของผมจะเป็นแนวกากๆเกรียนๆเจือปนด้วยอารมณ์และมุมมองมาโดยตลอด แต่บทความนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยถ้อยคำที่สุภาพและความรู้สึกที่อยากจะเผยแพร่จากใจจริง
ผมเชื่อว่า หลายท่านอาจจะไม่คุ้นชินกับสำนวนในบทความตอนนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับบทความอื่นๆที่ผ่านมา แต่สำหรับคนที่มาใหม่ ถ้าหากคุณกำลังจะกด Like เพจ Mr.GraymanV2 ผมขอแนะนำให้คุณทำใจไว้ล่วงหน้าและตรวจสอบความพร้อมของจิตใจสักนิด เพราะคุณจะต้องเจอกับคำผรุสวาท คำหยาบด้วยอารมณ์ แต่เจือปนด้วยข้อคิดที่ตัวผมอยากจะสื่อ ถ้าคุณรับได้ คุณอาจจะรักตัวอักษรของผม แต่เช่นเดียวกัน ถ้าคุณรับไม่ได้ มันก็เป็นแค่คำหยาบคายธรรมดาที่ก่นด่าออกไป
ผมหวังไว้ว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับคนที่ได้ผ่านมาอ่านทุกๆคน
โดยเฉพาะคนที่ "คิดว่า" ตัวเองทำงานหนัก
และคนที่อาจจะเจอกับการ “ทำงานหนัก” ในอนาคต
ป.ล. สิ่งที่ผมเขียนนี้ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงสไตล์ตัวเอง แต่ผมเพียงต้องการแสดงสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาให้คุณเห็นในแง่บวกของผู้ชายสีเทาๆคนหนึ่งเพียงเท่านั้น ขอน้อมรับคำติและคำชมไว้ด้วยสิ่งที่นักเขียนกากๆคนหนึ่งพึงจะได้รับไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
9 ข้อคิดชีวิตที่ผมได้เรียนรู้ผ่านการทำงานหนัก
ผมเชื่อว่า ทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า "งานหนักไม่เคยฆ่าคน" แต่บางคนได้ยินแล้วคงจะรู้สึกว่า "นี่กรุกำลังจะตายเพราะงานแล้วไงสัส" แต่ไม่ว่างานในวันนี้จะหนักแค่ไหน คุณต้องไม่ลืมมองเข้าไปให้ถึง “อนาคต” ข้างหน้าด้วย เพราะถ้าหากคุณไม่ตายจากการทำงานหนักในวันนี้ ผมกล้าบอกเลยว่าสิ่งที่คุณจะได้รับในอนาคตนั้นมันช่างมีค่าเหลือคณานับ และทั้งหมดคือ 9 ข้อคิดที่ผมได้รับจากการทำงานหนัก ในสไตล์เกรย์แมน
1. หยุดคาดหวัง “ความยุติธรรม” จากการทำงานหนัก
ก่อนอื่นผมขอบอกเลยว่า ในการทำงานทุกประเภท จงเลิกคาดหวังที่จะพบคำว่า "ความยุติธรรม" จากสังคมการทำงานเป็นลำดับแรก และถ้าหากคุณมองว่าตัวเองเป็น "คนทำงานหนัก" คุณจงถามตัวเองต่อไปว่า "แล้วผลของงานที่ได้รับจากการทำงาน" นั้นเกิดจากการทุ่มเทแรงใจแรงกายอย่างเต็มที่ หรือ เป็นแค่ข้ออ้างของการขาดประสิทธิภาพในการทำงาน เลยทำให้คุณต้อง "ทำงานหนัก" เพราะ “ใช้เวลา” มากกว่าคนอื่นๆ
บางครั้ง คุณอาจจะมองเห็นคนหลายคนในที่ทำงาน หรือคนที่ทำงานประเภทเดียวกันกับคุณ ดูสบายๆ ใช้เวลาหรือความทุ่มเทในการทำงานน้อยกว่าแต่ทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงประสบความสำเร็จในการทำงานมากกว่า หรือไม่ก็ได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่าคุณ
นั่นแหละครับ!! มันคือสิ่งที่สะท้อนกลับมาถามคุณว่า "ทำไมเราถึงไม่สามารถทำได้อย่างเขา" หรืออย่างน้อยลองถามตัวเองก่อนละกันว่า "เรามีข้อเสียอะไรบ้าง” ที่ทำให้ต้องทำงานหนักอย่างขาดประสิทธิภาพแบบนี้
ถ้าหากมันเป็นความผิดพลาดของคุณเอง จงอย่าร้องเรียกหา “ความยุติธรรม” ที่เกิดขึ้น เพราะการเรียกหาความยุดติธรรมจากความผิดพลาด มันก็เหมือนกับเด็กอนุบาลที่ทำของเล่นพังแล้วร้องไห้ให้พ่อแม่ซื้อใหม่ เพราะยังไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด
สิ่งเหล่านี้มันคือการแสดงให้เห็นว่า
ตัวคุณนั้นยอมรับความผิดพลาด
และความลำบากในชีวิตอย่างไรต่างหาก
ยิ่งร้องแรกแหกกระเชิงหาความเห็นใจ
ตอนที่ตัวเองทำผิดพลาด
คุณจะเป็นได้แค่ตัวประหลาดในออฟฟิศเท่านั้น
เมื่อเกิด “ความผิดพลาด” อย่ามัวเสียเวลาหาคำตอบที่เข้าข้างตัวเอง เพราะยิ่งคุณหาคำตอบเพื่อให้ตัวเอง “สบายใจ” มากขึ้นเท่าไร ความห่างไกลที่เกิดขึ้นระหว่างคุณกับความสำเร็จมันจะยิ่งไกลออกไปทุกทีๆ
เพราะชีวิตจริงไม่มีคำว่า “ยุติธรรม”
มีแต่คุณต้องรีบ “ทำ” เพื่อให้ปัญหามัน “ยุติ”
แต่ถ้าหากคุณเป็นคนทำงานหนักที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ แต่กลับโดนมองข้ามอย่างไม่เหลียวแล จงอย่าหวังให้หัวหน้ามองเห็นความดีหรือประสิทธิภาพ อย่าฝันให้หัวหน้าเปลี่ยนใจจากการมองคนที่ “ปาก” มาเป็นการมองที่ “หัวใจ” เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร แถมคุณจะหมดกำลังในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณมีความสามารถขนาดนั้น ผมว่าเอาเวลาไปสร้างสรรค์งานให้ดีขึ้น หรือ หาองค์กรใหม่ที่เหมาะสมกับตัวคุณจะดีกว่า
สุดท้ายแล้ว...
ความยุติธรรมนั้นหันหน้าให้กับผู้ชนะเสมอ
2. รีบเก็บเกี่ยว “ประสบการณ์” ผ่านการ “ทำงานหนัก”
ถ้าคุณเป็นคนทำงานหนักอย่างมี "ประสิทธิภาพ" ผมเชื่อว่า สิ่งที่คุณได้รับตามมาคือ "ประสบการณ์" อย่างล้นเหลือ ถึงขั้นมีคำกล่าวไว้ว่า "ถ้าเราใช้เวลาทำสิ่งที่เราสนใจเพียงวันละ 20 นาที เราจะเชี่ยวชาญในสิ่งนั้นๆเป็นอย่างดีในอีกไม่ช้า"
สำหรับ "การทำงานหนัก" แล้ว ต่อให้คุณไม่สนใจ มันก็ตาม แต่คุณต้อง “จำใจ” ทำมันทั้งวันอยู่ดี บางคนอาจจะต้องทำงานมากกว่าวันละ 12 ชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ แต่แทนที่คุณจะบ่นไปวันๆว่างานหนัก แต่คุณควรถามตัวเองกลับว่า "แล้วเราได้รับอะไรจากการทำงานหนัก" บ้างหรือเปล่า
จากประสบการณ์ของคนใกล้ตัวของผม ให้นิยามคำว่า “การทำงานหนัก” ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนทำงานหนักเพราะระหว่างวันใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ บางคนทำงานหนักด้วยความตั้งใจและแน่นอนสิ่งเหล่านั้น คือ แหล่ง “ประสบการณ์” ชั้นดีที่คุณ “เลือก” ที่จะได้รับ
ในทุกๆสถานการณ์ ถ้าคุณเลือกที่จะ “บ่น” คุณก็จะไม่ได้อะไร
แต่ถ้าคุณเลือกที่จะ “ค้นหา” คุณอาจจะ