ค่ารักษาพยาบาล เป็นค่าใช้จ่ายหนึ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญในการวางแผนการเงินให้ตัวเองนะครับ แม้เราจะไม่เคยเจ็บป่วย หรือแทบไม่เคยนอนโรงพยาบาลเลยก็ตาม แต่ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันกับเราขึ้นมา ไม่ว่าจะเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุ หรือโรคภัยต่างๆ ก็อาจจะทำให้เราต้องหมดเงินไปกับค่ารักษาเป็นจำนวนมาก จนอาจกระทบชีวิตความเป็นอยู่ หรือเป้าหมายชีวิตต่างๆ ที่เราตั้งใจไว้ได้

การทำประกันสุขภาพ จึงเป็นวิธีการบริหารความเสี่ยง จากค่ารักษาพยาบาลวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ โดยที่เราจ่ายค่าเบี้ยประกันเป็นประจำทุกปี แลกกับวงเงินความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ที่บริษัทประกันจะมารับผิดชอบค่ารักษาแทนเรา ซึ่งเป็นการช่วยให้เราไม่ต้องรับภาระค่ารักษา หรือแบ่งเบาภาระให้น้อยลงได้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนในทุกวันนี้ มีราคาค่อนข้างสูง และเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นประจำเกือบทุกปี แผนประกันสุขภาพสำหรับคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันที่ผมอยากจะแนะนำ จึงเป็นแผนแบบที่มี “วงเงินความคุ้มครองเหมาจ่ายค่ารักษา” ซึ่งเป็นแผนประกันที่บริษัทประกันจะมีวงเงินความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลต่อปีมาจำนวนหนึ่ง (โดยทั่วไปคือหลักล้านบาท)

หากมีค่ารักษาพยาบาลต่างๆ เกิดขึ้น ก็จะมาหักค่ารักษาจากวงเงินจำนวนนี้ สำหรับค่ารักษาในแต่ละครั้ง และตลอดทั้งปี รวมกันแล้วไม่เกินวงเงินที่กำหนด เราก็ไม่ต้องออกเงินค่ารักษาส่วนเกินแต่อย่างใด จึงเป็นลักษณะความคุ้มครองที่ถูกออกแบบมาเพื่อดูแลชีวิตและสุขภาพ ซึ่งครอบคลุมค่ารักษาทั้งในอัตราปัจจุบัน และในอนาคตได้ดีกว่าแบบเดิม

วันนี้ผมจึงอยากมาให้ความรู้เกี่ยวกับประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายค่ารักษาของบริษัท กรุงไทย แอกซ่า ที่ชื่อว่า “Flexi Health” ว่ามีจุดเด่น จุดด้อย อะไรบ้าง คุ้มค่าแค่ไหน และเหมาะสมกับใครบ้างกันครับ ถ้าพร้อมแล้วไปทำความรู้จักกับแบบประกันตัวนี้กันครับ

ลักษณะความคุ้มครอง

Flexi Health เป็นแผนประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายค่ารักษา ที่มีวงเงินคุ้มครองสูงสุดต่อปีตั้งแต่ 3-100 ล้านบาท ซึ่งวงเงินนี้ จะครอบคลุมค่ารักษาต่างๆ ที่สามารถเบิกได้จากวงเงินนี้โดยตรง เมื่อต้องนอนโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นค่าตรวจรักษา ค่าผ่าตัด ค่ายา ค่าเครื่องมือแพทย์ ค่าฉายรังสี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ

ยกเว้นค่ารักษาบางรายการ ที่จะมีวงเงินแยกออกมาต่างหาก และสามารถเบิกได้ไม่เกินวงเงินที่กำหนด เช่น ค่าห้องและค่าอาหาร มีวงเงินให้ตั้งแต่ 6,000-25,000 บาทต่อคืน, ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกทั่วไป มีวงเงินให้ตั้งแต่ 12,000 บาทต่อปี จนถึงจ่ายตามจริง ไม่เกินวงเงินสูงสุดต่อปี เป็นต้น

โดยสำหรับเด็กอายุ 1 เดือน - 15 ปี จะมีให้เลือกอยู่ 2 แผน คือแผน “สมาร์ท คิดส์” วงเงินความคุ้มครองต่อปี 3 ล้านบาท และ “โกลด์ คิดส์” วงเงิน 10 ล้านบาท

ขณะที่ผู้ใหญ่ที่อายุตั้งแต่ 16 - 80 ปี จะมีให้เลือกอยู่ 5 แผน เริ่มตั้งแต่แผน “สมาร์ท” วงเงิน 3 ล้านบาทต่อปี ไปจนถึงแผน “แพลทินั่ม” วงเงิน 100 ล้านบาทต่อปี ยิ่งแผนสูงๆ ก็จะยิ่งมีรายการความคุ้มครองพิเศษอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น แผนแพลทินั่ม จะมีวงเงินค่ารักษาสำหรับการตั้งครรภ์และคลอดบุตร ค่ารักษาด้านจิตเวช หรือค่าตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้น

รายการความคุ้มครองทั้งหมด

จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ

1. ส่วนความคุ้มครองผู้ป่วยในพื้นฐาน 

ครอบคลุมค่ารักษากรณีผู้ป่วยในหรือผู้ป่วยที่รักษาระหว่างวันทั้งหมด *กรณีมีการผ่าตัดหรือการรักษาการบาดเจ็บหรือการรักษาเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรง ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะไตวาย การรักษาใน ICU รวมถึงการรักษาการบาดเจ็บ ที่เจ็บป่วยจากอุบัติเหตุฉุกเฉิน ที่ต้องรักษาภายใน 24 ชม.

ไม่คุ้มครองกรณีเจ็บป่วยจากโรคหรืออุบัติเหตุทั่วไป โดยส่วนนี้จะเป็นส่วนความคุ้มครอง เพิ่มเติมที่ถ้าจะซื้อ ต้องซื้อความคุ้มครองส่วนนี้เป็นพื้นฐานขั้นแรกก่อน

2. ส่วนความคุ้มครองผู้ป่วยในแบบเติมเต็ม

ครอบคลุมค่ารักษากรณีเป็นผู้ป่วยใน จากโรคและอุบัติเหตุทั่วไป และโรคอื่นๆ ที่ไม่คุ้มครองในส่วนที่ 1) ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถเลือกได้ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ พ่วงเข้าไปเสริมความคุ้มครองในส่วนที่ 1)

3. ส่วนความคุ้มครองผู้ป่วยนอก

เป็นความคุ้มครองเพิ่มเติม กรณีเป็นผู้ป่วยนอก จากการรักษาโรคทั่วไป, การรักษาแพทย์ทางเลือก และค่าตรวจรักษา   ทันตกรรม ซึ่งสามารถเลือกซื้อหรือไม่ซื้อพ่วงเข้าไปเสริมในส่วนที่ 1) ได้เช่นกัน

ซึ่งความคุ้มครองในส่วนที่ 2) และ 3) นี้ สามารถเลือกซื้อเพิ่มเติมพ่วงเข้าไปกับความคุ้มครองหลักในส่วนที่ 1) ได้ (แต่ไม่สามารถแยกซื้อเดี่ยวๆ ได้) สำหรับแผน “สมาร์ทคิดส์” และ “โกลด์คิดส์” สำหรับเด็ก และแผน “สมาร์ท” จนถึงแผน “โกลด์” สำหรับผู้ใหญ่แต่สำหรับแผน “ไดมอนด์” และแผน “แพลทินั่ม” จะเหมารวมความคุ้มครองทั้ง 3 ส่วนเข้าด้วยกัน ไม่สามารถซื้อแยกได้

นอกจากนี้ ตั้งแต่แผนโกลด์ขึ้นไป ยังสามารถเลือกขอบเขตความคุ้มครองได้ ว่าจะให้ครอบคลุมแค่การรักษาในไทย, ในประเทศแถบเอเชีย, ทั่วโลกยกเว้นอเมริกา หรือทั่วโลกเลยก็ได้ ซึ่งหากเลือกแผนที่ขอบเขตความคุ้มครองกว้างขึ้น ค่าเบี้ยก็จะยิ่งสูงขึ้นตามลำดับ

สามารถศึกษารายละเอียดความคุ้มครองเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/flexi-health

จุดเด่นและความน่าสนใจ

จุดเด่นของ Flexi Health คือ เป็นประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่ให้วงเงินความคุ้มครองสูง ตั้งแต่แผนต่ำสุด คือ 3 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือว่าสูงเพียงพอ สำหรับครอบคลุมการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนทั่วไป แม้ในกรณีเจ็บป่วยร้ายแรง ก็มีโอกาสรองรับค่ารักษาได้ทั้งหมด โดยที่เราไม่ต้องออกส่วนต่างเอง (ยกเว้นกรณีการรักษาแพทย์ทางเลือก และการรักษาทันตกรรม ที่เราต้องมีส่วนร่วม 20% ของค่ารักษา)

แต่ความน่าสนใจที่สุดของ Flexi Health คงหนีไม่พ้น “ความยืดหยุ่น” ที่ให้เราสามารถเลือกออกแบบความคุ้มครอง ลดหรือเพิ่มผลประโยชน์ได้ในปีต่ออายุตามความต้องการ และเบี้ยที่จ่ายได้เองว่าต้องการให้ครอบคลุมการรักษามากน้อยแค่ไหน

ตัวอย่างเช่น สำหรับคนที่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลบางส่วนจากที่ทำงานอยู่แล้ว แต่วงเงินค่ารักษาอาจจะไม่สูงมากนัก แค่เพียงพอสำหรับการเจ็บป่วยทั่วไป ก็อาจจะเลือกซื้อเฉพาะส่วนความคุ้มครองขั้นพื้นฐาน สำหรับรองรับกรณีเจ็บป่วยร้ายแรงเอาไว้เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยสูงมาก ก็ได้วงเงินความคุ้มครองแบบเหมาจ่ายสูงๆได้ หรือสำหรับคนที่เป็นคนทำงานอิสระ หรือเป็นเจ้าของกิจการ ที่ไม่มีสวัสดิการค่ารักษาใดๆ ก็อาจจะเลือกซื้อความคุ้มครองขั้นพื้นฐาน + ความคุ้มครองผู้ป่วยในแบบเติมเต็ม ก็เพียงพอที่จะครอบคลุมค่ารักษาทุกกรณีเมื่อต้องนอนโรงพยาบาลได้เช่นกัน

จุดด้อยและข้อจำกัด

ข้อจำกัดสำคัญของ Flexi Health ก็คือ สำหรับคนที่ต้องการความคุ้มครองการรักษากรณีผู้ป่วยในแบบครอบคลุมทุกโรค จำเป็นต้องซื้อทั้งความคุ้มครองพื้นฐาน และความคุ้มครองผู้ป่วยในแบบเติมเต็ม ซึ่งค่าเบี้ยรวมจะค่อนข้างสูง (ตัวอย่าง ค่าเบี้ยประกันสำหรับความคุ้มครองพื้นฐาน และความคุ้มครองผู้ป่วยในแบบเติมเต็ม ของแผน สมาร์ท สำหรับเพศ หญิง อายุ 35 ปี คือ 34,858 บาท)

หากต้องการจ่ายค่าเบี้ยที่น้อยกว่านี้ ก็ต้องซื้อเฉพาะความคุ้มครองพื้นฐาน ซึ่งก็จะคุ้มครองเฉพาะเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรง ไม่คุ้มครองกรณีเจ็บป่วยทั่วไป หรือคนที่อาจจะสามารถจ่ายค่าเบี้ยได้น้อยกว่านี้ แล้วอยากได้ความคุ้มครองไม่ต้องสูงเท่านี้ (เช่น วงเงินต่อปี 2 ล้านบาท) แต่ครอบคลุมโรคทั้งหมด ก็ไม่มีแผนที่สามารถเลือกได้ เนื่องจากแผนเริ่มต้นมีวงเงินค่อนข้างสูงตั้งแต่แผนแรกนั่นเอง

บทสรุป

จากการที่ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แม้จะมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลจากที่ทำงาน ก็อาจจะไม่ครอบคลุมเพียงพอ ถ้าเกิดเหตุเจ็บป่วยรุนแรงขึ้นมา การเลือกทำประกันสุขภาพที่คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบมีวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษา จึงเป็นทางออกที่น่าสนใจ ที่จะช่วยรักษาไม่ให้เงินเก็บของเราต้องรั่วไหลไปกับค่ารักษาที่อาจจะคาดไม่ถึง

ซึ่ง “Flexi Health” แผนประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษาแบบวงเงินเหมาจ่าย ตัวใหม่ของกรุงไทย แอกซ่า ก็ถือเป็นแผนประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่น่าสนใจ จากจุดเด่นที่มีวงเงินคุ้มครองค่ารักษาสูง สามารถเลือกความคุ้มครองให้สอดคล้องกับชีวิตของแต่ละคนได้ จึงช่วยให้สามารถวางแผนคุ้มครองสุขภาพได้ดีกว่า

แต่อาจจะเหมาะกับคนที่ต้องการความคุ้มครองวงเงินสูง เพื่อให้ครอบคลุมค่ารักษาทุกกรณี ตั้งแต่เจ็บป่วยเล็กน้อยไปจนถึงขั้นร้ายแรง โดยที่มีกำลังจ่ายค่าเบี้ยได้ในระดับหนึ่ง หรือสำหรับคนที่มีความคุ้มครองบางส่วนอยู่แล้ว และต้องการเพิ่มความคุ้มครองให้สูงขึ้น เฉพาะกรณีร้ายแรงเป็นพิเศษ Flexi Health ก็สามารถตอบโจทย์ได้อย่างน่าสนใจ เพื่อความยืดหยุ่นของแต่ละชีวิตที่แตกต่างกันครับ

ถ้าใครอ่านแล้วสนใจและอยากเข้าไปศึกษาหรือสอบถามเพิ่มเติม สามารถเข้าไปได้ที่ www.krungthai-axa.co.th/th/flexi-health

บทความนี้เป็น Advertorial