ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ชื่อของ โกตัม อดานิ ​(Gautam Adani) กลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้างบนโลกออนไลน์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คนที่จะรู้จักเขาส่วนใหญ่จะอยู่ในแวดวงธุรกิจและการเงิน แม้ชื่อของเขาจะไม่ได้เตะหูเหมือนอย่าง บิล เกตส์ (Bill Gates) หรือ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) แต่ความมั่งคั่งของเขาก็ถือว่าเทียบเคียงกับคนที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ด้วยความที่อดานิไม่ค่อยออกสื่อเท่าไหร่ จึงทำให้ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงเขาสักเท่าไหร่

ในวันที่ 24 มกราคม 2023 Hindenburg Research บริษัทลงทุนแห่งหนึ่งในอเมริกาที่เชี่ยวชาญเรื่องการขายหุ้นแบบ ‘Short-Sell’ หรือการสร้างกำไรในช่วงขาลงของหุ้น ได้กล่าวหาว่าบริษัทของอดานิชื่อว่า Adani Group ที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอินเดียนั้นกำลังทำสิ่งที่เรียกว่าเป็น “การหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์องค์กร” เนื่องจากมีการปั่นหุ้นและการฉ้อโกงทางบัญชี โดยรายงานเปิดเผยว่าธุรกิจในเครือของตระกูล Adani ทุจริต ฟอกเงิน และขโมยเงินภาษีด้วย

ทาง Adani Group ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาตามรายงาน Hindenburg ทั้งหมดเลย ซึ่งก่อนที่รายงานนี้จะถูกปล่อยออกมา มูลค่าทางตลาดของ Adani Group อยู่ที่ราว ๆ 235,000 ล้านเหรียญ ส่วนตัวอดานิเองก็เป็นบุคคลที่ร่ำรวยเป็นอันดับสามของโลกและอันดับหนึ่งของเอเชียด้วย แต่ตั้งแต่มีข่าวนี้เกิดขึ้นมูลค่าของ Adani Group ได้ลดลงไปแล้วกว่า 70,000 ล้านเหรียญ ส่วนอดานิเองก็ร่วงไปอยู่อันดับ 22 แล้ว ณ ขณะที่เขียนบทความนี้ (03/02/2023)

แล้ว โกตัม อดานิ คือใครกัน? เขาร่ำรวยขนาดนี้ได้ยังไงกัน?

อดานิเกิดในปี 1962 ในรัฐคุชราต ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย เขาเป็นหนึ่งในลูกแปดคนในครอบครัวชนชั้นกลางของศาสนาเชน ซึ่งเป็นศาสนาที่สอนการบำเพ็ญตบะและการกินเจอย่างเคร่งครัด เช่นเดียวกับชาวรัฐคุชราตอื่นๆ พ่อของอดานิเป็นผู้ประกอบการและทำธุรกิจสิ่งทอเล็กๆ แต่อดานิไม่ค่อยสนใจเรื่องสิ่งทอที่พ่อทำสักเท่าไหร่ เขาหยุดเรียนตั้งแต่อายุ 16 ปี ย้ายไปอยู่ที่มุมไบ ทำงานเป็นคนคัดเพชรอยู่สองสามปี

จนกระทั่งปี 1981 พี่ชายคนหนึ่งก็เริ่มต้นทำธุรกิจแปรรูปพลาสติก อดานิเลยย้ายกลับมาที่บ้านเพื่อช่วยทำงานตรงนี้ ต่อมาเขาเริ่มนำเข้าวัตถุดิบสำหรับใช้ในธุรกิจ จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยายออกไปยังสินค้าและวัตุดิบอื่น ๆ อย่างเช่น โลหะ เวชภัณฑ์ และสินค้าโภคภัณฑ์จำนวนมากขึ้น เมื่อรัฐบาลรัฐคุชราตเปิดรับผู้บริหารท่าเรือมุนดรา อดานิซึ่งคุ้นเคยกับระบบราชการของอินเดียอยู่แล้วก็ชนะสัญญา เปิดท่าเรือในปี 2001 ซึ่งในปัจจุบันมุนดราถือเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียไปเรียบร้อยแล้ว

มุนดราเติบโตอย่างมากในช่วงหลังจากปี 2001 ต่อมาเมื่อ นเรนทระ โมที (Narendra Modi) (ซึ่งปัจจุบันเป็นนายกรัฐมนตรีของอินเดีย) เริ่มดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐมนตรีของรัฐคุชราตเป็นเวลา 13 ปี มีรายงานว่าฝ่ายบริหารของโมทีได้ปล่อยเช่าที่ดินให้กับอดานิในราคาแสนถูก ซึ่งช่วยให้อดานิขยายท่าเรือ (ซึ่งอดานิปฏิเสธคำกล่าวอ้างเรื่องเล่นพรรคเล่นพวกตรงนี้ด้วย)

เมืองมุนดราที่เจริญรุ่งเรืองพร้อมกับโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงเป็นรากฐานของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ วิธีการของอดานิค่อนข้างเรียบง่าย เข้าไปซื้อสิทธิ์ในการรถไฟและน้ำ ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ และรายได้ที่สร้างจากความสำเร็จขององค์กรหนึ่งเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับธุรกิจต่อไป นำไปสู่การเกิดขึ้นของ ‘Adani Group’ บริษัทโฮลดิง ที่เข้าไปถือหุ้นกิจการต่างๆ ตั้งแต่ กิจการท่าเรือ ขนส่งโลจิสติกส์ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ เทคโนโลยีอวกาศ พลังงานสะอาด ซีเมนต์ไปจนถึงสื่อเลยทีเดียว

ความสำเร็จของอดานิช่วยสนับสนุนความสำเร็จของโมทีด้วย พรรณนาตัวเองว่าเป็นผู้นำที่สนับสนุนการเติบโต (Pro-Growth) เมื่อขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของอินเดียในปี 2014 เขาเดินทางไปยังเดลี เมืองหลวงของอินเดียด้วยเครื่องบินของ…(ให้ลองทายเล่น ๆ) อดานินั่นแหละครับ

มิตรภาพระหว่างสองคนนี้ยังคงดำเนินต่อไป ในปี 2019 อดานิได้รับคำยินยอมจากรัฐบาลในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในรัฐฌาร์ขันท์ทางตะวันออก ซึ่งตรงนี้บริษัท Hindenburg ก็บอกว่ารัฐบาลหย่อนยานเกินไปในเรื่องการตรวจสอบ Adani Group แต่อดานิก็ปฏิเสธข้อกล่าวหาอีกนั่นแหละว่ารัฐบาลของโมทีเอื้อผลประโยชน์ให้กับธุรกิจของเขาอย่างไม่เหมาะสม เขาให้เหตุผลว่าความสำเร็จของเขามาจากการปฏิรูปที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อกว่า 30 ปีก่อน ซึ่งทำให้อินเดียเป็นมิตรกับธุรกิจมากขึ้นต่างหาก

ตรงกันข้ามกับนักธุรกิจผู้ร่ำรวยชาวอินเดียหลายคน อดานิมักจะไม่ค่อยออกสื่อและเก็บตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ เสมอ แม้เบื้องหลังของเขาค่อนข้างจะเต็มไปด้วยเรื่องราวก็ตาม อย่างเช่นในปี 1998 มีรายงานว่าเขาถูกลักพาตัวไปพร้อมกับเพื่อนร่วมงาน และได้รับการปล่อยตัวโดยถูกเรียกค่าไถ่หลายล้านเหรียญ หรืออย่างในปี 2008 เขาอยู่ที่โรงแรมทัชมาฮาลในมุมไบระหว่างการโจมตีของผู้ก่อการร้าย ตอนนั้นต้องซ่อนตัวทั้งคืนอยู่ในห้องใต้ดิน

เขาไม่ค่อยพูดต่อสาธารณะเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย ไม่มีบ้านหรือรถที่อู้ฟู่หวือหวา แต่งกายด้วยชุดสูทสีเข้มและเชิ้ตสีขาวที่ธรรมดา ๆ เขาเรียกตัวเองว่าเป็นอินโทรเวิร์ตด้วยซ้ำ ไม่ชอบไปงานสังสรรค์ที่มีคนเยอะ ๆ ด้วย ถึงแม้ว่าราคาหุ้นที่ร่วงลงไปของกลุ่ม Adani Group จะทำให้บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของเขาจากอันดับที่ 3 เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน ลงมาอยู่อันดับที่ 22 ในตอนนี้ เขาก็ยังเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งอยู่และมีมูลค่าทางทรัพย์สินมากกว่า 57,900 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 1.9 ล้านล้านบาทอยู่ดี

ที่ผ่านมา Hindenburg สร้างชื่อด้วยการชี้แจงปัญหาในสตาร์ทอัปที่น่าดึงดูดแต่สุดท้ายก็จบไม่สวยได้หลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น Nikola บริษัทรถบรรทุกไฟฟ้าที่ผู้ก่อตั้งถูกตัดสินในข้อหาฉ้อโกง และ Lordstown Motors ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีคำสั่งซื้อเกินจริง

ในการต่อสู้กับ Adani Group ครั้งนี้ถือเป็นการงัดข้อกับบริษัทขนาดใหญ่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะออกมาหน้าไหน สิ่งที่น่าสนใจคือหุ้นของบริษัทในเครือของ Adani Group บางอันก็ดูน่าสงสัย ยกตัวอย่างเช่น Adani Enterprises ซื้อขายกันที่ P/E กว่า 500 เท่า และ Adani Green Energy บริษัทพลังงานหมุนเวียนซื้อขายกันที่ P/E กว่า 500 เท่า ซึ่งมันสูงมากถ้าลองเทียบกับดัชนี Nasdaq ที่เน้นเรื่องเทคโนโลยีในอเมริการที่ซื้อขายกันที่ P/E น้อยกว่า 30 เท่าด้วยซ้ำ

Hindenburg บอกว่ามันเป็นระบบที่ซับซ้อนแล้วมีหลายบริษัทที่ควบคุมโดยตระกูล Adani ในแคริบเบียน มอริเชียส และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ "ไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนของการดำเนินงาน" เลยด้วยซ้ำ ซึ่งประเด็นคือมันเป็นการบิดเบือนราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนและเปลี่ยนเงินไปยังงบดุล “เพื่อรักษาสถานะทางการเงินและการชำระหนี้” ท่ามกลางหนี้สินที่สูงและสินทรัพย์สภาพคล่องที่เบาบาง ซึ่งแน่นอนว่าข้อกล่าวหานี้ก็โดนปฏิเสธเช่นเดียวกัน และบอกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นการ “จู่โจมการเติบโตและความทะเยอทะยานของอินเดียที่ถูกวางแผนเอาไว้แล้ว” ต่างหาก

=========

อ้างอิง

The Economist

The Economist

Forbes