ปี 2019 คือ ปีสุดท้ายของ LTF

LTF หรือ Long Term Equity Fund คือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว ที่ผู้ลงทุนสามารถนำยอดลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีและไม่เกิน 500,000 บาท โดย LTF จะมุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นไทย โดยสัดส่วนของหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 65% ของพอร์ต และนักลงทุนต้องถืออย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน เพื่อรับสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี

LTF ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลดหย่อนภาษีมาก

เนื่องจากเมื่อเทียบกันระหว่างผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีแล้ว LTF จะมีจุดเด่นเหนือกว่า RMF ในเรื่องระยะเวลาการถือครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่พึ่งเริ่มทำงาน สามารถลงทุนเพื่อเก็บเงินซื้อสินทรัพย์ในระยะกลางได้ เช่น บ้าน รถยนต์ ซึ่งเงินก้อนนี้นอกจากจะได้ลงทุนในหุ้นแล้ว ยังสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทั้งลงทุนและลดหย่อนภาษีไปในเวลาเดียวกัน

ไม่มี LTF แล้วจะทำยังไงต่อดี

นี่คือคำถามที่ลงทุนศาสตร์ถูกถามบ่อยมากที่สุดอีกคำถามหนึ่งของปีนี้ คำตอบคือต้องแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ 

(1) สำหรับสิทธิ์ในปีสุดท้ายควรใช้ให้คุ้มค่าที่สุด

(2) มองหาผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษีใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับตัวเราเอง

อย่าง RMF หรือกองทุนเพื่อการเกษียณ ที่ยังได้ไปต่อ สามารถลดหย่อนภาษีได้เหมือนเดิม แต่อย่าลืมหลักการเลือกผลิตภัณฑ์การลดหย่อนภาษีที่ควรเลือกตามจุดประสงค์หลักก่อน เช่น เพื่อออมเงินระยะยาว หรือเพื่อลงทุน แล้วจึงค่อยมาเลือกสิทธิ์การลดหย่อนภาษีที่เหมาะสม 

ส่วนกองทุนใหม่ที่จะมาแทน LTF ในปีหน้า ยังคงรอความชัดเจนต่อไป ซึ่งเราควรหันมาพิจารณาก่อนว่าระยะเวลาที่เหลือในปีนี้ เราได้ลงทุน LTF ไปเต็มสิทธิ์แล้วหรือยัง 

ปีนี้ปีสุดท้ายมีประเด็นอะไรด้านการลงทุนเกี่ยวกับ LTF ที่น่าสนใจบ้าง        

ปี 2019 เป็นปีที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างมากอีกปีหนึ่ง แต่โดยภาพรวมก็ถือว่ายังให้ผลตอบแทนดีกว่าปีที่แล้วมาก โดยระดับการซื้อขายยืนเหนือ 1,600 จุดได้เป็นเวลานาน โดยตัวเลขดังกล่าวถือเป็นระดับที่สูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลังของตลาดหุ้น

ส่วนตลาดการลงทุนโลกเจอปัจจัยรบเร้าหลายอย่าง ตั้งแต่ (1) ประเด็นสงครามการค้าที่ยืดเยื้อและยังดูว่าจะไม่มีวี่แววสิ้นสุดได้โดยง่าย (2) ธนาคารกลางสหรัฐที่ยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจนต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบาย (3) ภาวะ Inverted Yield Curve ที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่

หันมามองตลาดหุ้นไทย มีแนวโน้มเติบโตอย่างไรบ้าง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยรุมเร้าระดับโลกไม่น้อย แต่ถือได้ว่าประเทศไทยก็เป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ดี ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจไม่ใหญ่ แต่มีเงินสำรองระหว่างประเทศสูง ค่าเงินบาทแข็งค่ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี สะท้อนภาพความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ภาคเศรษฐกิจของเรายังคงมีแนวโน้มที่น่าสนใจ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีการนำมาใช้กันอย่างต่อเนื่อง และเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ที่เริ่มมีนักลงทุนจากต่างประเทศแสดงความสนใจเข้ามาลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นยังน่าสนใจและยังมีแนวโน้มเติบโต เหมาะแก่การลงทุนในระยะยาว 

มีกองทุน LTF และ RMF ใดน่าสนใจบ้าง

วันนี้ กองทุนรวม LTF ที่ลงทุนศาสตร์หยิบมาเล่าให้ฟังกัน คือ KDLTF ของบลจ.กสิกรไทย (KAsset)โดย KDLTF เป็นกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่ปันผลสูงสุดของกสิกรไทย เรียกว่าเอาใจนักลงทุนสายปันผลที่ชอบมีเงินปันผลต่อเนื่องในระยะเวลาการรอคอย 7 ปีปฏิทิน โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุน มีการจ่ายปันผลเป็นจำนวนทั้งสิ้น 24 ครั้ง รวมเป็นเงิน 10.37 บาท หรือมีการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย (Average Dividend Yield) ประมาณ 4% ต่อปีตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ถ้าจะคิดผลตอบแทนของกองที่เน้นปันผลแบบนี้ อย่าลืมบวกผลตอบแทนจากเงินปันผลเข้าไปด้วย เพื่อให้เราสามารถเห็นภาพผลตอบแทนได้อย่างรอบด้านและครบถ้วน 

กองทุนหุ้นใหญ่ถือว่าน่าสนใจช่วงตลาดผันผวน

ในช่วงเวลาที่ตลาดเป็นขาขึ้นมากๆ นักลงทุนจะชอบลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและกลาง เพราะหุ้นกลุ่มนี้มักจะวิ่งนำตลาด ราคาจะวิ่งไวกว่าตลาดเป็นส่วนใหญ่ แต่ในทางกลับกัน เมื่อเป็นตลาดขาลง หุ้นเล็กและกลางก็สามารถวิ่งลงนำตลาดได้ด้วย นักลงทุนส่วนใหญ่จึงชอบหันเข้าหาหุ้นใหญ่เมื่อต้องการความปลอดภัยและผันผวนต่ำ กองทุนรวมหุ้นใหญ่จึงน่าสนใจมากในสภาวะตลาดแบบนี้

ในฝั่ง RMF ขอเล่าถึง KEQRMF

KEQRMF ของ KAsset ก็มุ่งเน้นไปที่หุ้นใหญ่เหมือนกัน ขีดเส้นใต้ว่ากองทุนนี้ได้ 4 ดาวจาก Morningstar และติด 1 ใน 10 อันดับผลตอบแทนย้อนหลัง 7 ปี จาก Morningstar ด้วย (Overall rating ณ 31 ส.ค.62) โดยกองนี้จะเหมาะกับคนที่ชอบถือครองยาวๆ รอขายตอนเกษียณ ความน่าสนใจคล้ายกับ KDLTF ที่เน้นหุ้นใหญ่เหมือนกัน เหมาะกับคนที่ต้องการหุ้นที่มั่นคงในยามที่ตลาดผันผวน

กระซิบว่า KDLTF กับ KEQRMF เป็น 2 กองทุนยอดขายอันดับ 1 ของ KAsset ในปีนี้เลย (ตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 ส.ค. 62) เรียกว่าได้รับความนิยมมาก ๆ ถ้าใครสนใจ แนะนำว่าให้ทยอยซื้อ เพราะจะทำให้ได้ราคาเฉลี่ย ความเสี่ยงน้อยกว่าไปรอซื้อไม้เดียวตอนสิ้นปีนะ

แล้วหลังจากปีนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับ LTF บ้าง

สำหรับกอง LTF เดิม อาจจะไม่มีแรงซื้อเข้ามาใหม่ แต่จะมีการทยอยขายออกไปบ้างตามที่ครบอายุ โดยกองทุนจะค่อยๆ เล็กลง ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวลแต่อย่างใด เพราะผลการดำเนินงานของกองทุนขึ้นกับประสบการณ์การบริหารของทีมผู้จัดการกองทุน เพื่อมุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องเหมือนเดิม เหมือนซื้อหุ้นตัวเดิมแต่ซื้อจำนวนหุ้นน้อยลง ผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แถมอาจจะคล่องตัวเพิ่มขึ้นเสียอีก

แล้วเมื่อครบ 7 ปีปฏิทิน นักลงทุนควรขาย LTF หรือเปล่า

คำตอบตรงนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนของตัวเราเอง ถ้าเราตั้งใจเก็บเงินเพื่อใช้ทำเป้าหมายไหนเป็นพิเศษ เราก็สามารถขายออกเพื่อไปทำตามเป้าหมายได้ แต่ถ้าใครยังไม่มีเป้าหมายอะไร การลงทุนไปเรื่อยๆ ก็จะช่วยเพิ่มพูนผลตอบแทนทบต้นได้เป็นอย่างดี 

สรุป

ปีสุดท้ายปีนี้อย่าลืมใช้สิทธิ์เต็มจำนวน หรือในสัดส่วนที่เราคิดว่าคุ้มค่าที่สุด และเมื่อครบระยะเวลา เราจะขายหรือไม่ก็ให้ดูที่เป้าหมายการลงทุนของตนเอง ส่วนเรื่องขนาดกอง LTF ที่จะเล็กลงตามเวลาก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างใด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://bit.ly/2m9E0az

คำเตือน

• ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาข้อมูลภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน

• ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้ยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

• เงินปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% หรือสามารถเลือกให้ไม่หัก ณ ที่จ่ายก็ได้ แต่จะต้องนำเงินปันผลไปรวมเป็นรายได้ เพื่อคำนวณภาษีเงินได้สิ้นปี

ลงทุนศาสตร์

บทความนี้เป็น Advertorial