LTF/RMF กองทุนใหม่แกะกล่องแบบไหนที่โดนใจคุณ?

 

            ทยอยกันออกมาอีกเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง กับกองทุน LTF/RMF ในปีนี้ที่แต่ละ บลจ. ทุ่มทุนสร้างกันเต็มที่ วันนี้ผมเลยจะเอากองทุนที่น่าสนใจ 4 กองทุน จาก บลจ. กรุงศรี มาคุยให้ฟังกันครับ

 

            ซึ่งถ้าใครติดตามเพจผมมาเรื่อย ๆ ก็จะทราบดีครับว่า ถ้าเป้าหมายของนักลงทุนเป็นเรื่องการเก็บเงินระยะยาวเพื่อการเกษียณแล้วละก็ส่วนใหญ่ผมจะเน้นให้นักลงทุนนั้น ซื้อกองทุน RMF ก่อน LTF เนื่องจากว่า กองทุน RMF นั้นมีหลากหลาย นโยบายมากกว่าครับ มีทั้งความเสี่ยงต่ำ จนไปถึงกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากเลยทีเดียว

 

            โดยผมจะแนะนำให้นักลงทุน ลงทุนในกองทุน RMF ที่มีความเสี่ยงต่ำ-กลาง  ก่อนในสัดส่วนที่พอเหมาะ และจากนั้นค่อยนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนในกองทุน LTF ที่มีความเสี่ยงสูงครับ เพราะว่าถ้านักลงทุนเอง รับความเสี่ยงสูงจาก LTF ไม่ได้แล้วละก็ ถ้าซื้อแต่กองทุน LTF ที่มีสัดส่วนหุ้นสูง ๆ ก็อาจจะมีความผันผวนสูง บางครั้งลงทุนไปแล้วอาจจะเกิดความไม่สบายใจได้ครับ

 

            แต่ถ้านักลงทุนเองไม่ได้ต้องการลงทุนระยะยาวจนถึงเกษียณ แต่อยากลดหย่อนภาษี และเก็บเงินก้อนไว้ในระยะ 5 ปีขึ้นไปแล้วละก็ อาจจะเลือกกองทุน LTF ที่มีความเสี่ยงลดต่ำลงมา คือ กองทุนประเภทที่มีสัดส่วนสินทรัพย์อื่น ๆ เข้ามาผสมด้วย (LTF ต้องลงทุนอย่างน้อย 7 ปีปฏิทิน)

 

            ดังนั้น ถ้าใครที่คิดว่า อยากได้กองทุนที่ความเสี่ยงไม่สูงมากจนเกินไป ลองมาดูกองทุนที่เป็นพระเอกกองทุนแรกในวันนี้กันนะครับ นั่นก็คือ

 

            กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวออลสตาร์ปันผล (Krungsri All Stars Dividend LTF) ผมขอเรียกชื่อย่อตามที่กองทุนเรียกกันว่า KFLTFAST-D

 

             กองทุนนี้ไม่ได้ลงทุนหุ้นไทยล้วน ๆ อย่างกองทุน LTF กองทุนอื่น ๆ ทั่วไปครับ แต่จะมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยอยู่ประมาณ 65-70% ขึ้นไปตามกฎของ LTF และนอกจากนี้ก็จะมีหุ้นต่างประเทศ กองทุนอีทีเอฟ (ETF)

 

              โดยกองทุนนี้มีระบุไว้ด้วยครับว่า จะมีการลงทุนใน MSCI World หรือดัชนีที่ขึ้นลงตามผลตอบแทนของหุ้นทั่วโลกได้ในสัดส่วน 30-35% ที่เหลืออีกด้วยครับ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงครับ

 

               จะเห็นว่าบางปี ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง แต่ว่าในทางกลับกันตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ได้ปรับตัวลดลงตามไปด้วย แต่วิ่งสวนทางขึ้นมาครับ ดังนั้น พอร์ตโดยรวมของกองทุนนี้ก็จะไม่ผันผวนมากจนนักลงทุนเองรับไม่ได้ และบางครั้งก็อาจจะให้ผลตอบแทนทีดีมากขึ้นก็เป็นไปได้ครับ

 

LTF/RMF กองทุนใหม่แกะกล่องแบบไหนที่โดนใจคุณ?

 

            นอกจากนี้ กองทุนจะมีการจ่ายเงินปันผลให้ด้วยครับ ซึ่งเป็นสไตล์ของกองทุนจาก บลจ. กรุงศรี อยู่แล้ว ที่อยากจะให้มีเงินกลับคืนไปที่นักลงทุน และส่วนใหญ่ก็จะเน้นการจ่ายที่สม่ำเสมอ เหมือนกับกองทุนที่เคยออกไปก่อนหน้านี้

 

            ส่วนสไตล์การลงทุนในหุ้น ของกองทุนกรุงศรี โดยปกตินั้นก็จะเน้นไปที่ หุ้นใหญ่ พื้นฐานดี มีเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งข้อดีของวิธีนี้คือ ความผันผวนต่ำ และมีผลตอบแทนสม่ำเสมอ แต่คงไม่ได้มีการเติบโตของผลตอบแทนสูงเท่าไหร่นัก

 

            แต่ในครั้งนี้ มีการปรับรูปแบบการลงทุนเป็นแบบไม่จำกัดขอบข่ายการลงทุนว่าต้องเป็นหุ้นประเภทไหน ไม่ว่าจะเป็นเล็ก กลาง หรือ หุ้นใหญ่ ก็สามารถลงทุนได้ นอกจากนี้ ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาการถือครองนานว่าต้องนานเท่าไหร่ จึงทำให้มีความคล่องตัว โดยหุ้นแต่ละตัวที่เลือกมาก็จะเลือกหุ้นที่มีการเติบโตได้ดี และเติบโตได้มากกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นโดยรวม ซึ่งทาง บลจ. ก็จะดูจากทั้งเชิงปริมาณ และ เชิงคุณภาพครับ จากนั้นพอได้หุ้นที่ดีแล้ว ก็จะมีดูว่ามีราคาที่เหมาะสมกับการซื้อหรือไม่ต่อไปครับ

 

LTF/RMF กองทุนใหม่แกะกล่องแบบไหนที่โดนใจคุณ?

 

            แต่ถ้านักลงทุนเอง อยากลงทุนกองทุนหุ้นแบบที่ความเสี่ยงสูงหน่อย เน้นถือหุ้นไทยเกือบจะ 100% ของพอร์ตการลงทุนของกองทุน และรับได้กับความผันผวนที่เกิดขึ้น อาจจะพิจารณาทางเลือกเพิ่มเติม อย่างกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวไทยสมอล-มิดแคปปันผล (Krungsri Thai Small-Mid Cap Dividend LTF) (ชื่อย่อ: KFLTFTSM-D) ที่เน้นไปลงทุนในหุ้นเล็กที่มีการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

 

             ซึ่งผลตอบแทนจากหุ้นเล็กในปีนี้ ที่ตลาดหุ้นผันผวนแต่ก็ต้องบอกว่าทำได้ดีทีเดียวครับ โดยที่กองทุนที่มีแนวทางการลงทุนแบบเดียวกันอย่าง KFTHAISM ใน 6 เดือนที่ผ่านมานั้น ทำผลตอบแทนได้ประมาณ 17% เลยทีเดียวครับ ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นเรียกได้ว่า คุ้มค่าความเสี่ยงที่ต้องลงทุนไปครับ แต่อย่างไรก็ตามผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีอนาคตนะครับ คงต้องลุ้นกันต่อว่ากองทุนจะทำผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่องหรือไม่ครับ

 

            หลังจากเราได้กองทุน LTF ในแบบที่ความเสี่ยงไม่สูงไปแล้ว คราวนี้ถ้าเราอยากจะกระจายการลงทุนให้มากขึ้นแล้วละก็ ลองมาดูกองทุน RMF เพิ่มเติมอีกสักหน่อย เพราะว่า กองทุน RMF นั้นไม่ได้มีข้อจำกัดว่าต้องลงทุนในหุ้นของประเทศไทยเท่านั้นเหมือนกับกองทุน LTF

             ซึ่งอาจจะเป็นกองทุนที่มีการกระจายการลงทุนไปทั่วโลกก็ได้ แต่นักลงทุนเองก็ควรที่จะมีความรู้ในสิ่งที่กำลังจะลงทุนด้วย เช่น ประเทศไหนมีจุดเด่นอะไร และจะมีแนวโน้มระยะยาวอย่างไร เพื่อที่จะทำให้ลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เพราะว่าหากไม่เข้าสิ่งที่ลงทุนอยู่แล้วละก็ อาจจะทำให้เราขาดทุน หรือได้ผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาดหวังไว้ครับ

              หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าการลงทุนเป็นเรื่องไกลตัว และต้องใช้ความรู้ค่อนข้างมาก แต่จริง ๆ แล้วการลงทุนที่ดีอาจจะเริ่มจากการสังเกตสินค้ารอบ ๆ ตัวที่เราชื่นชอบก็ได้ ซึ่งวิธีการนี้ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ นักลงทุนชื่อดังหลาย ๆ คน ชอบใช้ อย่างเช่น วอเร็น บัฟเฟตต์ หรือ แม้แต่ สุดยอดผู้จัดการกองทุนตลอดกาลอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์ ซึ่งทั้ง 2 คน สามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 20% ต่อปี ติดต่อกันหลายปีอย่างไม่น่าเชื่อเลยครับ

              สินค้าใกล้ตัวก็ได้แก่ ของใช้ต่าง ๆ ซึ่งเราอาจจะเคยสังเกตเห็นอยู่แล้ว เช่น สบู่ ยาสีฟัน หรือ แม้แต่ยารักษาโรค 

Dr.Nut

Dr.Nut

GURU aomMONEY ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกองทุน การลงทุน และการเงิน

Related Story