SNAILWHITE ถือเป็นอีกตำนานการตลาดบทหนึ่งของประเทศไทย

ไม่กี่ปีที่แล้ว หลายคนคงเคยเห็นภาพโฆษณาของแบรนด์เครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่งแสดงอยู่ตามป้ายโฆษณานอกบ้านอยู่ตามหัวถนนในกรุงเทพมหานคร ถึงแม้ว่าแบรนด์จะเพิ่งสร้างแต่ก็ใช้ดาราหญิงระดับแนวหน้าของประเทศ

ผ่านไปไม่นาน SNAILWHITE ก็กลายเป็นอีกแบรนด์เครื่องสำอางไทยที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ ทั้งในแง่ยอดขายและการรับรู้ของผู้บริโภค 

"DDD" หรือบริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553 ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ NAMU LIFE ใช้ชื่อกลุ่มผลิตภัณฑ์ว่า SNAILWHITE ซึ่งชูจุดเด่นเป็นส่วนผสมจากหอยทากที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ โดยบริษัทจะใช้ส่วนผสมนี้เป็นเรือธงของผลิตภัณฑ์ในเครือ นอกจากนี้บริษัทยังรับผลิตสินค้าให้กับผู้จัดจำหน่ายอื่น (OEM) อีกด้วย


ผลิตภัณฑ์ SNAILWHITE ในเครือ DDD


บริษัทเองแต่เดิมเป็นโรงงานที่รับผลิตสินค้าเครื่องสำอางให้กับผู้จัดจำหน่ายรายอื่น (OEM) เพียงอย่างเดียวทำให้บริษัทเองได้เห็นถึงหลักคิดและแนวทางการทำธุรกิจทั้งจากแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ บริษัทสั่งสมประสบการณ์และวิสัยทัศน์มายาวนานกว่า 3 ปีก่อนที่จะมาเริ่มทำแบรนด์ SNAILWHITE ของตนเองและผลตอบแทนก็ออกมาสวยงามด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างรวดเร็วและแบรนด์ก็เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค

ตลาดของ SNAILWHITE หลักอยู่ที่ประเทศไทย อย่างในประเทศไทย SNAILWHITE Facial Cream มียอดขายสูงเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มสินค้าประเภทบำรุงผิวหน้าที่มีราคาสูงกว่า 800 บาทต่อชิ้น ตั้งแต่ปี 2558 และถูกจัดจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรด โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาด 9.6% สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2560 หรือพูดง่ายๆว่าทุกๆ 10 คนที่เดินเข้าไปซื้อครีมต้องมี 1 คนที่ซื้อ SNAILWHITE

และถ้าหากใครติดตามกลุ่มลูกค้าชาวจีน จะพบว่าสินค้าของบริษัทเองก็เป็นหนึ่งในสินค้าที่คนจีนชอบมาก ร้านค้าปลีกแถวไหนมีคนจีนไปเดินเที่ยวเยอะ สินค้าของบริษัทจะมีวางขายเพียบ อย่าง "NAMU LIFE SNAILWHITE Facial Cream" เป็นรายการสินค้าจากประเทศไทยที่ขายดีที่สุดในวันคนโสดของประเทศจีน (Singles’ Day) ในปี 2558 TMALL ของ Alibaba

(Review)แกะกล่องหุ้นน้องใหม่ : "DDD" เจ้าหญิง SNAIL WHITE กับครีมหอยทากหมื่นล้าน


SNAILWHITE Facial Cream ซึ่งมียอดขายสูงเป็นอันดับที่ 1
ในกลุ่มสินค้าประเภทบำรุงผิวหน้าที่มีราคาสูงกว่า 800 บาทต่อชิ้น

และ SNAILWHITE กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์

DDD หรือบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอาง SNAILWHITE กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีกำหนดการซื้อขายวันแรกวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2560 โดยเสนอขายหุ้น IPO ที่จำนวนไม่เกิน 76,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 24.05 ของหุ้นบริษัทภายหลังการเสนอขาย เคาะราคาอยู่ที่ 53.00 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าระดมทุนไม่เกิน 4,028 ล้านบาท เพื่อนำเงินที่ได้ครั้งนี้ไปขยายธุรกิจต่อ

ภาพบรรยากาศงาน roadshow ของ DDD ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


DDD เป็นบริษัทที่ฝันใหญ่ แต่ไม่ใช่ฝันที่ไกลเกินตัว

ในระยะสั้นบริษัทจะนำเงินไปขยายส่วนการผลิต โดยปัจจุบันได้มีการเปิดโรงงานแห่งใหม่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 316.8 ล้านมิลลิลิตรต่อปี เป็น 1,903.2 ล้านมิลลิลิตรต่อปี แต่ก็มีแผนจะขยายการผลิตอีกในปลายปี 2561 เพื่อจะเพิ่มการกำลังการผลิตไปเป็นประมาณ 4,000 ล้านมิลลิลิตรอีกด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นจะขยายช่องทางการจัดจำหน่ายซึ่งเป็นอีกหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจ จากปัจจุบันที่มีทั้งการขายผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านค้าปลีกดั้งเดิม ร้านค้าของบริษัท (สาขาสยามและ Show DC) และช่องทางออนไลน์ บริษัทก็จะเพิ่มขยายไปให้กว้างขึ้น ทั้งการวางขายเพิ่มในคิงพาวเวอร์ดิวตี้ฟรีสาขาใหม่ๆ หรือการทำสินค้าขนาดเล็กลงเพื่อให้จับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ให้หันมาลองใช้สินค้าของบริษัทมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสการซื้อจากกลุ่มที่ยังไม่เคยทดลอง

แต่ในระยะยาว DDD ฝันไกลกว่านั้น โดยบริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวสู่การเป็น 1 ใน 3 ของบริษัทชั้นนำด้านความงามในภูมิภาคเอเชีย

ซึ่งปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากตลาดต่างประเทศทีถือว่ามีอัตราการเติบโตสูงมากที่มียอดขายเพิ่มจาก 130 ล้านไปเป็น 400 ล้านจากการทำการตลาด 1 – 2 ปี นอกจากนี้ บริษัทก็ยังไม่ทิ้งตลาดต่างประเทศอื่นอย่าง CLMV หรือฮ่องกง


ภาพผลิตภัณฑ์ SNAILWHITE บน TMALL ร้านค้าออนไลน์ยอดฮิตของประเทศจีน


ในด้านข้อมูลทางการเงิน DDD ก็มีความน่าสนใจอยู่หลายประเด็น

จากข้อมูลงบกำไรขาดทุดเบ็ดเสร็จของบริษัทในช่วงปี 2558 – 2560 บริษัทมีการเติบโตของรายได้อย่างมาก เท่ากับ 438.0, 955.1 และ 1,201.5 ล้านบาทตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตทบต้นที่ 65.62% ในขณะที่กำไรสุทธิก็เติบโตเช่นกันที่ 27.5, 193.9 และ 335.2 ล้านบาทตามลำดับ หรือคิดเทียบเท่าอัตราการเติบโต 249.13% ทบต้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา 

โดยในช่วง 9 เดือนของปี 2560 บริษัทก็ยังมีการเติบโตของรายได้ที่ดีจาก 985.0 ล้านบาทไปเป็น 1,256.40 ล้านบาท หรือเท่ากับการเติบโต 27.55% เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของบริษัทมีการสะดุดเล็กน้อย โดยลดลงจาก 278.8 ล้านบาท ไปเป็น 253.5 ล้านบาท หรือเท่ากับลดลง 9.07% ถ้าเทียบจากช่วงเวลาเดียวกัน 

(Review)แกะกล่องหุ้นน้องใหม่ : "DDD" เจ้าหญิง SNAIL WHITE กับครีมหอยทากหมื่นล้าน

ส่วนประเด็นด้านสถานะทางการเงิน บริษัทก็ถือว่าเป็นกิจการที่มีภาระหนี้น้อย โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่แค่เพียง 0.4 เท่า ซึ่งบริษัทก็จะได้รับเงินสดและส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มมาหลังจากระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้อีก

งบการเงินของ DDD รอบปี 2557 – 2559 และรอบ 9 เดือนของปี 2560


อะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จของครีมหอยทากหมื่นล้าน?

ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา DDD พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็น Right Business in the Right Time คือตัวบริษัทเองเป็นบริษัทที่มีความสามารถพื้นฐานตนเองดีอยู่แล้วทั้งในแง่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาดที่แข็งแกร่ง การมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีทีมบริหารที่แข็งแกร่ง แต่จุดที่สำคัญไม่แพ้กันคือ DDD นั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกต้องด้วย เพราะตลาดเครื่องสำอางนั้นถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่และมีศักยภาพการเติบโตมาก บวกกับแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของบริษัทอย่างมาก ทำให้ยอดขายและผลกำไรของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ต่อไปต้องติดตามชมกันว่า key driver ทั้ง 3 ของบริษัทจะประสบความสำเร็จแค่ไหน ทั้งการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านคิงพาวเวอร์ดิวตี้ฟรีที่จะช่วยเพิ่มทั้งจุดจำหน่ายและการรับรู้แบรนด์ต่อกลุ่มผู้บริโภคต่างประเทศ ทั้งการมุ่งเน้นการขยายตลาดไปประเทศจีนที่เป็นประเทศที่มูลค่าตลาดเครื่องสำอางสูงถึง 1 ล้านล้านบาท และสุดท้ายการเพิ่มผลิตภัณฑ์กลุ่มซองหรือ Sachet ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทดลองของกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่หลังจากได้ทดลองวางจำหน่ายในเซเว่นอีเลฟเว่นก็ได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างดี

(Review)แกะกล่องหุ้นน้องใหม่ : "DDD" เจ้าหญิง SNAIL WHITE กับครีมหอยทากหมื่นล้าน


ภาพของดาวิกา โฮร์เน่ พรีเซนเตอร์ของผลิตภัณฑ์ SNAILWHITE

มองเชิงมูลค่าเปรียบเทียบกับบริษัทเครื่องสำอางอื่นบ้าง

เทียบกำไร 12 เดือนล่าสุดกับราคาหุ้นเสนอขาย IPO ของ DDD เทียบกับหุ้นเครื่องสำอางตัวอื่นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์


  • DDD : มูลค่ากิจการ 16,748 ล้านบาท เทียบกับราคาต่อกำไร (PE) 54.04 เท่า
  • BEAUTY : มูลค่ากิจการ 58,553 ล้านบาท เทียบกับราคาต่อกำไร (PE) 58.62 เท่า
  • KAMART : มูลค่ากิจการ 6,556 ล้านบาท เทียบกับราคาต่อกำไร (PE) 24.31 เท่า
  • RS : มูลค่ากิจการ 25,506 ล้านบาท เทียบกับราคาต่อกำไร (PE) 152.80 เท่า

โดยมูลค่ากิจการและค่า PE ดังกล่าวคำนวณจากราคา IPO ของ DDD
และราคาปิดของหุ้นตัวอื่น ณ วันที่ 19 ธันวาคม 2560


สังเกตได้ว่าหุ้นในกลุ่มเครื่องสำอางมักจะมี PE ที่ค่อนข้างสูงทุกตัว เพราะอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตดีและมีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งโดยธรรมชาติ โดยทั้ง 4 บริษัทก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป DDD มีจุดเด่นที่ผลิตภัณฑ์มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก แบรนด์มีการรับรู้ในวงกว้าง BEAUTY มีจุดเด่นที่ร้านค้าปลีกจัดจำหน่ายของตนเอง KAMART มีจุดเด่นที่มีผลิตภัณฑ์และลูกเล่นที่สดใส ส่วน RS มีจุดเด่นที่ช่องทางจัดจำหน่ายผ่านช่องโทรทัศน์ของตนเอง

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่จะบ่งบอกมูลค่าที่เหมาะสมของค่า PE ได้คือการเติบโตในอนาคต นักลงทุนคงต้องเปรียบเทียบและวิเคราะห์การเติบโตในอนาคตของกิจการเทียบกับ PE ดู โดยปกติ หุ้นที่มีการเติบโตสูงย่อมสามารถซื้อขายที่ PE สูงกว่าหุ้นที่มีการเติบโตต่ำได้ เพราะการเติบโตในอนาคตจะผลักดันให้ค่า PE ต่ำลงในที่สุดนั่นเอง


เปรียบเทียบผลตอบแทนหุ้น BEAUTY KAMART และ RS ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา

สุดท้ายนี้สิ่งที่บทความนี้เล่าและเอ่ยอ้างถึงเป็นการพูดถึงข้อมูลเชิงธุรกิจ และไม่มีเจตนาแนะนำซื้อ ถือ หรือขาย เพียงแต่เป็นการนำข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนและข้อมูลที่ผู้บริหารได้แจ้งต่อนักลงทุนที่งาน roadshow ที่ตลาดหลักทรัพย์มาสรุปเพื่อให้นักลงทุนที่สนใจศึกษาได้ง่ายและต่อยอดการลงทุนของตนเองได้ต่อ

หากสนใจศึกษาข้อมูลบริษัทเพิ่มเติม สามารถอ่านข้อมูลได้ที่ : http://www.dodaydream.com/th/investor-relations/ir-home

สุดท้ายนี้ ขอฝากคำคมเตือนใจปิดท้ายบทความไว้เพื่อความสวยงาม... 

"สำหรับผู้หญิง อยากสวยอย่าหยุดสวย
แต่สำหรับนักลงทุน อยากรวยอย่าหยุดศึกษากิจการ"

ไปแล้ว ขออนุญาตไปทาครีมหอยทากก่อน

ลงทุนศาสตร์ - Investerest


บทความนี้เป็น Advertorial