ถ้าให้เลือกระหว่างการ “ซื้อ” และ “เช่า” ที่อยู่อาศัย คนส่วนใหญ่มักจะเลือก “ซื้อ” ที่อยู่อาศัยมากกว่าการเช่า เพราะถ้าผ่อนจนครบกำหนดแล้ว ที่อยู่อาศัยนั้นก็จะกลายเป็นทรัพย์สินของเรา รวมทั้งในอนาคตราคายังขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ (ขึ้นอยู่กับทำเล เพราะแต่ละพื้นที่ราคาเพิ่มขึ้นไม่เท่ากัน) นอกจากที่อยู่อาศัยช่วยบังแดด บังฝนให้ความอบอุ่นกับครอบครัวของเราแล้ว ยังช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากวิกฤตได้อีกด้วย
“ที่อยู่อาศัย” ทำให้เรารอดพ้นจากวิกฤตได้อย่างไร?
หลังจากที่เราผ่อนครบจบเรื่องหนี้กับธนาคารเรียบร้อยแล้ว ที่อยู่อาศัยนั้นก็จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของครอบครัวเราอย่างสมบูรณ์ แต่ว่า!! ชีวิตของเราไม่แน่นอน อาจจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เราจำเป็นต้องใช้เงินก้อนโตแบบเร่งด่วน
ช่วงเวลานี้เองที่อยู่อาศัยจะเข้ามาช่วยเหลือเราได้ โดยการนำ “ที่อยู่อาศัยที่หมดภาระหนี้แล้วมาเปลี่ยนเป็นเงิน” เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาการเงิน ฝ่าวิกฤตร้ายแรงออกมาได้ โดยที่เราและครอบครัวยังพักอาศัยได้เหมือนเดิม
ตัวอย่าง : ความจำเป็นที่ต้องใช้เงินก้อนโต
ปิดหนี้
สาเหตุ : ใช้เงินเพลินจนกระทั่งกลายเป็นหนี้บัตรเครดิต (ดอกเบี้ย 18% ต่อปี) หรือบัตรกดเงินสด (ดอกเบี้ย 28% ต่อปี) เงินต้นรวมดอกเบี้ยม้วนรวมกันหลายแสนบาท จ่ายแต่ขั้นต่ำทุกเดือน เพื่อรักษาเครดิตของตัวเอง จะได้ไม่ติดเครดิตบูโร เพราะมีผลต่อการกู้เงินในอนาคต แต่ตอนนี้เริ่มผ่อนไม่ไหวและต้องการหาแหล่งเงินกู้ใหม่ที่ดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม เพื่อปิดหนี้เก่าทั้งหมดและตั้งใจว่าจะไม่กลับไปสร้างหนี้แบบเดิมๆอีกต่อไป
ที่อยู่อาศัยเปลี่ยนเป็นเงิน : เป็นการขยายเวลาชำระหนี้ โดยการเปลี่ยนหนี้ระยะสั้นจากบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด เป็นหนี้ระยะยาวโดยการนำที่อยู่อาศัยไปค้ำประกันเงินกู้ แม้ว่าจะเป็นหนี้นานขึ้น แต่ก็ทำให้เรารู้สึกหายใจโล่งขึ้น เพราะมีสภาพคล่องมากขึ้น รวมถึงจ่ายดอกเบี้ยลดลงอีกด้วย เดิม 18 - 28% ต่อปี ลดเหลือ 5.45 - 8.60% ต่อปี
ซ่อม
สาเหตุ : เกิดภัยธรรมชาติพายุถล่มหลังคาปลิวไปกับสายลม น้ำท่วมหนักหรือเกิดไฟไหม้บ้าน จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่อย่างเร่งด่วนเพื่อนำมาซ่อมแซมที่อยู่อาศัย
ที่อยู่อาศัยเปลี่ยนเป็นเงิน : ได้รับเงินก้อนไปซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้กลับมามีสภาพใช้งานได้เหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกับของเก่าให้ได้มากที่สุด
ขยาย
สาเหตุ : ธุรกิจที่ทำอยู่มีรายได้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ มีแนวโน้มว่าจะเติบโตได้ดีในอนาคต แต่ขาดเงินทุนก้อนใหญ่เพื่อมาติดปีกธุรกิจของตัวเองให้บินไปได้ไกลกว่านี้
ที่อยู่อาศัยเปลี่ยนเป็นเงิน : ได้รับเงินก้อนเพื่อนำไปขยายและต่อยอดธุรกิจของตัวเองให้เติบโต เพื่อสร้างยอดขายและกำไรได้มากขึ้น
เงินหมุน
สาเหตุ : ธุรกิจเกิดวิกฤตจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ขาดสภาพคล่องชั่วคราว จึงต้องการเงินทุนก้อนหนึ่งเข้ามาช่วยประคับประคองให้ผ่านพ้นช่วงเลวร้าย
ที่อยู่อาศัยเปลี่ยนเป็นเงิน : รับเงินลงทุนก้อนโตเพื่อนำไปหมุนในธุรกิจ
วิธีเปลี่ยนที่อยู่อาศัยเป็นเงิน
จากความจำเป็นที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ถ้าหันไปยีมคนอื่นก็ลำบากใจ ทางออกสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนทรัพย์สินของตัวเองเป็นเงิน หากเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่อง เราก็สามารถขายแล้วได้รับเงินเร็ว เช่น ทองคำ หุ้น กองทุนรวม ฯลฯ
แต่ถ้าเป็นสินทรัพย์ขนาดใหญ่อย่างเช่น “ที่อยู่อาศัย” ซึ่งมีสภาพคล่องต่ำ กว่าจะขายและได้รับเงินก็ใช้เวลานาน แต่ถ้าขายไปก็ทำให้เราเดือดร้อนเพราะไม่มีที่อยู่ อีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้เราได้รับเงินก้อน โดยที่เรายังพักอาศัยได้เหมือนเดิม คือ การนำที่อยู่อาศัยไปค้ำประกันเงินกู้ ซึ่ง “สินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคช บ้านเปลี่ยนเป็นเงิน” ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
โปรโมชั่นตอนนี้ !! พิเศษ !! ตั้งแต่ 7 พ.ค. - 31 ก.ค. 61
|
ที่อยู่อาศัยแบบไหนที่นำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้
ที่อยู่อาศัยที่ไม่มีภาระหนี้ (จ่ายหนี้บ้านครบแล้ว)
บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม ห้องชุดพักอาศัย(คอนโด) และอาคารพาณิชย์
ใครบ้างที่กู้ได้
บุคคลธรรมดา สัญชาติไทย อายุ 20 – 65 ปี
พนักงานประจำ อายุงานรวมที่ทำงานเดิมและปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 2 ปี (งานปัจจุบันต้องผ่านการทดลองงานแล้ว)
ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ประกอบธุรกิจมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปี
ผู้กู้ร่วมต้องมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับผู้กู้ (ยกเว้นกรณีคู่สมรสไม่จดทะเบียน)
วงเงินการให้สินเชื่อ
มูลค่าการให้สินเชื่อสูงสุด 85% ของราคาประเมิน
วงเงินอนุมัติตั้งแต่ 500,000 - 10,000,000 บาทและอนุมัติเร็ว
ระยะเวลาการผ่อนชำระ
ผ่อนชำระแบบรายเดือน
ผ่อนนานสูงสุด 30 ปี (ระยะเวลาผ่อนชำระรวมกับอายุผู้กู้แล้วต้องไม่เกิน 65 ปี)
มีเงินเยอะก็โปะได้ แต่ถ้าปิดหนี้ทั้งหมดก่อน 3 ปี ต้องเสียค่าปรับ 3% ของวงเงินอนุมัติ (แต่ละธนาคารก็มีเงื่อนไขของเวลาแตกต่างกัน บางแห่งห้ามปิดหนี้ก่อน 5 ปี)
ตัวอย่างตารางการผ่อนชำระค่างวดโดยประมาณ
ตารางอัตราดอกเบี้ยของหลักประกันแต่ละประเภท
ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 22 พ.ค. 60 อัตราดอกเบี้ย MRR คือ 7.20% ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ขอสินเชื่อตั้งแต่ 7 พ.ค. - 31 ก.ค. 61 โดยจดจำนองและรับเงินกู้ภายใน 31 ส.ค. 61
สำหรับผู้ที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) ตามเงื่อนไขที่กำหนด รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 (ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อทำเพื่อปิดความเสี่ยง หากผู้กู้เสียชีวิต หนี้สินจากการกู้ครั้งนี้จะไม่กลายเป็นภาระให้คนในครอบครัว เพราะธนาคารเป็นผู้ชำระหนี้ส่วนนี้ให้ แต่ธนาคารไม่ได้บังคับ เราจะทำหรือไม่ก็ได้)
ส่วนตัวมองว่า ถ้าชีวิตของเราเกิดวิกฤตต้องการใช้เงินขึ้นมาแล้วจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ “ที่อยู่อาศัย” เป็นอีกหนึ่งทรัพย์สินที่สามารถช่วยเหลือเราได้ โดยการนำไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ แต่ "สิ่งสำคัญที่ต้องทำ คือ อ่านเงื่อนไขการกู้ให้เข้าใจ การมีวินัยในการจ่ายหนี้ จ่ายให้ครบและจ่ายตรงเวลา เพื่อรักษาทรัพย์สินให้อยู่กับเราตลอดไปนะคะ"
หากสนใจรายละเอียด “สินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคช บ้านเปลี่ยนเป็นเงิน” สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/2xpSgRV หรือ โทร 1572 กด 9 หรือ ติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ธนาคารกรุงศรีทุกสาขานะคะ
บทความนี้เป็น Advertorial