คำว่า “โรงพยาบาลเอกชน” อาจจะเป็นของแสลงสำหรับใครหลายคน

แต่หากตัดเรื่องค่าใช้จ่ายออกไป เราก็คงจะต้องยอมรับกันจริงๆ ว่าโรงพยาบาลเอกชนโดยค่าเฉลี่ยแล้วก็ให้ความรู้สึกที่ดีกับผู้เข้ารับการรักษามากกว่า ทั้งในเรื่องของจำนวนผู้เข้าใช้บริการที่ไม่มาก ไม่ต้องต่อคิวนาน พอคนไข้ไม่มาก บุคลากรทางการแพทย์ในแต่ละฝ่ายก็มีเวลาให้กับผู้ป่วยแต่ละคนมากขึ้น แพทย์คุยกับคนไข้มากขึ้น ตัวเราเองก็จะเข้าใจถึงความเจ็บป่วย และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรามากขึ้น ถ้าพูดโดยภาพรวมแล้ว เมื่อเราเจ็บป่วย การได้เข้าโรงพยาบาลเอกชนที่มีคุณภาพก็ถือเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยหลายๆ คน

“แต่ในทางความเป็นจริง ค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับโรงพยาบาลเอกชน”

สำหรับโรคทั่วไป รักษาในแผนกผู้ป่วยนอก เช่น หวัด ท้องเสีย โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ค่ารักษาอาจเริ่มต้นที่ประมาณ 2,000 บาทบวกลบ แต่ถ้าเป็นโรคที่รุนแรงมากขึ้น จำเป็นต้องเข้าพักรักษาตัวในแผนกผู้ป่วยใน ค่าห้องก็จะเริ่มที่ประมาณคืนละ 10,000 บาท รวมกับค่ารักษา ค่ายา และค่าอื่นๆ อีกมากมาย

แต่ถ้าเป็นโรคร้ายแรง ค่ารักษาพยาบาลอาจบานปลายกว่าที่คิดมาก

โรคหลายอย่างต้องอาศัยการรักษาที่ใกล้ชิดเป็นพิเศษ ยิ่งต้องอยู่ห้อง ICU ค่ารักษายิ่งแพงเพราะต้องมีระบบมาตรฐานเพื่อเตรียมพร้อมจะกู้ชีวิตคนไข้ตลอดเวลา โรคร้ายแรงที่คุ้นหูหลายโรคที่เรารู้จักกันดี เช่น มะเร็ง หัวใจและหลอดเลือด อาจจะทำให้ค่ารักษาพุ่งขึ้นไปเหยียบหลักแสนจนถึงหลักล้าน

เราจะทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อจะได้การรักษาที่ดีกว่า ในงบประมาณที่เข้าถึงได้?

คำตอบคือการทำประกันภัย การทำประกันชีวิตและประกันอุบัติเหตุจะช่วยแบ่งเบาภาระเมื่อเราต้องเข้าโรงพยาบาลไปได้มาก (ก.ไก่ล้านตัว) โดยเราสามารถเลือกออกแบบจากทุนประกันและเบี้ยประกันที่เราเอื้อมถึง เช่น อยากได้ค่ารักษาพยาบาลเท่าไหร่ อยากได้ค่าห้องเท่าไหร่ อยากได้ค่าชดเชยเท่าไหร่ ทั้งหมดทั้งมวลนี้สามารถออกแบบได้ด้วยกรมธรรม์ประกันภัยทั้งสิ้น

แต่สำหรับโรคร้ายแรงแล้ว ทุนประกันทั่วไปอาจไม่เพียงพอ

อย่างที่เล่าไปข้างต้นว่าโรคร้ายแรงบางโรคอาจจะทำให้ค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูงไปถึงหลักแสนหรือหลักล้าน หากเราหวังพึ่งการคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันชีวิตและประกันอุบัติเหตุที่เราทำตามปรกติอาจจะไม่เพียงพอ (เพราะกรมธรรม์เหล่านั้นออกแบบมาเพื่อปกป้องความเสี่ยงตามปรกติ ไม่ใช่ความเสี่ยงจากโรคร้ายแรง) การทำประกันโรคร้ายแรงจึงเป็นการทำประกันที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมุ่งเน้นการรักษาสำหรับโรคร้ายแรงเลย เมื่อเกิดโรคร้ายแรง เราจะได้เงินก้อนใหญ่ ซึ่งนอกจากจะเอามาใช้เพื่อจ่ายในส่วนที่กรมธรรม์ฉบับปรกติอาจจะไม่เพียงพอแล้ว ยังสามารถเอาไปใช้จ่ายช่วยเหลือในค่าใช้จ่ายด้านอื่นของชีวิตอีกด้วย

iShield คือแบบประกันคุ้มครองชีวิตและโรคร้ายแรงตลอดชีพ

iShield จะมุ่งเน้นการปกป้องความเสี่ยงจากการเกิดโรคร้ายแรงโดยเฉพาะ คือเมื่อเราป่วยเป็นโรคร้ายแรง 70 โรคที่ระบุในกรมธรรม์ ทั้งระยะเริ่มต้นหรือระยะลุกลาม เราก็จะสามารถเบิกทุนประกันออกมาได้ตามเงื่อนไข เช่น การผ่าตัดตับเบิกได้ 25% โรคสมองเสื่อมเบิกได้ 100% เป็นต้น โดยเราจะสามารถเบิกสะสมไปได้จนครบ 100% ตามสัญญา

ข้อดีของ iShield คือ เราจะได้เงินก้อนใหญ่มาเมื่อเกิดโรคร้ายแรง โดยปรกติโรคร้ายแรงจะใช้เงินในการรักษามาก (หลักแสนถึงหลักล้าน) การได้เงินก้อนเข้ามาจะช่วยทำให้เราสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นระหว่างการรักษา เงินก้อนนี้จะทำให้เราเข้าถึงการรักษาที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องห่วงเรื่องงบที่จะบานปลาย

การมีเงินก้อนใหญ่ไม่ได้หมายถึงการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนเกรดพรีเมี่ยมเท่านั้น เพราะโรคร้ายแรงบางอย่างต้องใช้เครื่องมือราคาแพงในการรักษา หรือใช้ยาที่ไม่ได้อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ (หมายถึงประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทองในการเบิกได้ ต้องจ่ายเงินสดเอง) การมีเงินก้อนเข้ามาจะทำให้การรักษาสะดวกมากขึ้น เข้าถึงการรักษาที่ดีขึ้น จากประสบการณ์ที่คนรอบตัวเป็นโรคร้ายแรงมาเกิน 3 คน บอกได้เลยว่าการรักษาใช้เงินมากกว่าที่คิดมาก คิดภาพว่าญาติใกล้ชิดเรามีทางเลือกในการกินยารักษาโรคเพิ่ม แต่ค่ายาวันละ 2,000 บาทและต้องกินทุกวัน การป้องกันความเสี่ยงด้วยประกันโรคร้ายแรงจึงจะมีความหมายมากในเวลาแบบนี้

iShield สามารถเลือกระยะการจ่ายเบี้ยประกันภัยได้ตามความสะดวก เช่น 5 ปี 10 ปี 15 ปี หรือ 20 ปี โดยเบี้ยประกันจะคงที่ และดูแลเราไปถึงอายุ 85 ปีหรือตลอดชีวิต ตรงนี้จะช่วยในการวางแผนการจ่ายเบี้ยของเราได้ดีมาก เพราะเบี้ยประกันจะคงที่ เราสามารถเลือกตามแบบที่เราไหวและคล่องตัวได้เลย ถ้าไม่อยากจ่ายก้อนใหญ่ก็อาจจะทยอยจ่ายนานหน่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นคือเราสามารถออกแบบได้เอง

สุดท้ายคือ iShield สามารถลดหย่อนภาษีได้ด้วย โดยสามารถลดหย่อนได้ตามเบี้ยประกันจ่ายจริงหรือสูงสุด 100,000 บาทต่อปี ตรงนี้เราก็สามารถมองเป็นส่วนลดหรือ cash back จากการที่รัฐบาลสนับสนุนการทำประกันได้

รูปแบบกรมธรรม์ เบี้ยประกัน ทุนประกัน เราสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับตัวเราเองได้เลย โดยสามารถติดต่อเพื่อให้ Krungthai-AXA ออกแบบให้เราได้โดยตรงเลยได้ที่ http://bit.ly/2CFUgrG ลองติดต่อเข้าไปพูดคุยขอดูกรมธรรม์ที่เราคิดว่าเหมาะสมกับเราที่สุดก่อนก็ได้ หากสนใจก็นำมาศึกษาและวางแผนการเงินกันต่อไป

จากประสบการณ์ความเจ็บป่วยของคนรอบตัวหลายต่อหลายคน
การทำประกันภัยโรคร้ายแรงมันสำคัญจริงๆ นะ

ลงทุนศาสตร์ - Investerest

บทความนี้เป็น Advertorial