ในยุคปัจจุบัน การซื้อคอนโดมิเนียมคุณภาพดีสักแห่ง นอกเหนือจากเรื่องของราคาที่คุ้มค่าและทำเลที่ยอดเยี่ยมแล้ว อีกจุดหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญแต่มักถูกละเลยไปเสมอก็คือ บริการต่างๆ ที่เราได้รับหลังจากซื้อคอนโดนั้น

ถ้าหากลองพิจารณาอย่างถ้วนถี่ บริการที่เราจะได้รับในฐานะผู้อยู่อาศัยนั้นอาจมีความสำคัญไม่แพ้ราคาที่จ่ายไปเลย เพราะคอนโดมิเนียมที่เราซื้อคือสิ่งที่เราจะต้องอยู่อาศัยกับมันไปอีกหลายปี หากได้คอนโดมิเนียมที่ราคาถูก ทำเลดี แต่การบริการหรือส่วนกลางต่างๆ ไม่เหมาะสม อาจทำให้การอยู่อาศัยไม่ได้เป็นการพักผ่อนหย่อนใจอย่างที่ควรจะเป็น รวมถึงกระแสการบอกต่อที่อาจไม่ดีเท่าที่ควร

ด้วยความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย จึงมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งพยายามตอบสนองลูกค้าด้วยบริการต่างๆ มากมาย แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีคอนโดมิเนียมสักแห่งที่สามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบายเท่ากับโรงแรมล่ะ?

นั่นคือสิ่งที่ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) กำลังจะทำ ผู้นำด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ ซึ่งกำลังจะก้าวสู่การเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเร็วๆ นี้

บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเริ่มจัดตั้งบริษัทฯ ในปี 2553 เปิดตัวอสังหาริมทรัพย์และจำหน่ายไปแล้วกว่า 20 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมทั้งแบบ High Rise และ Low Rise จำนวน 16 โครงการ และโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ทั้งทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และบ้านจัดสรร จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมกันถึงกว่า 46,000 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2563) ตัวอย่างแบรนด์ที่ SA เป็นคนทำก็ได้แก่ The Collection, Siamese Exclusive, Blossom เป็นต้น

ในตลอดสิบปีที่ผ่านมา บริษัทฯ พยายามชูแนวคิด “Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต” นั่นคือไม่ว่ากลุ่มลูกค้าจะเป็นใคร ต้องการซื้อเพื่อเช่าอยู่เองหรือปล่อยเช่าต่อ จะต้องได้รับการตอบสนองต่อความต้องการอย่างดีที่สุด โดยเฉพาะแนวคิดการสร้างที่อยู่อาศัยแบบ Branded Residence หรือก็คือการนำบริการแบบโรงแรมระดับโลกมาใช้กับที่อยู่อาศัย เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด

ในการทำที่อยู่อาศัยแบบ Branded Residence บริษัทฯ ได้ว่าจ้าง Hotel Operator ที่มีชื่อเสียงจากต่างประเทศมาสองรายด้วยกัน คือ Green Land และ Kew Green เพื่อเปลี่ยนที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นการพักผ่อนในแบบโรงแรม นั่นแปลว่าผู้อยู่อาศัยจะได้รับการบริการที่ไม่แพ้โรงแรมเลยทีเดียว และเป็นสิ่งที่ยังไม่เห็นบ่อยนักในตลาดที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่

ปัจจุบัน SA จะมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจอยู่ 3 ประเภทหลัก

1) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย

ปัจจุบันเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ โดยพัฒนาทั้งอสังหาริมทรัพย์ในแนวสูงและแนวราบ และพยายามนำเอานวัตกรรมต่างๆ มาประยุกต์ใช้กับอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่สูงขึ้น เช่น ระบบหมุนเวียนอากาศในห้องพัก หรือบริการที่จอดรถอัตโนมัติ

เพื่อสร้างความแตกต่างจากบริษัทคู่แข่ง SA จึงได้นำแนวคิด Branded Residence หรือการอยู่อาศัยที่เทียบเท่าโรงแรมมาประยุกต์ใช้กับอสังหาริมทรัพย์ของตนเองด้วย เพื่อให้บริการลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบายในแบบมาตรฐานของโรงแรม เช่น บริการอาหารและเครื่องดื่มในห้องพัก บริการทำความสะอาด หรือบริการซักรีด เป็นต้น

2) ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า

เป็นการแบ่งพื้นที่บางส่วนของโครงการอสังหาริมทรัพย์มาปล่อยเช่าให้กับผู้ประกอบการที่สนใจ โดย SA อาจได้รับรายได้ทั้งในแบบของค่าเช่าหรือส่วนแบ่งกำไร นอกจากนี้ในอนาคต SA กำลังก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed - Use เพื่อเพิ่มรายได้ในสัดส่วนนี้ด้วย

3) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้บริการ SA

จะแบ่งห้องพักหรืออสังหาริมทรัพย์ส่วนหนึ่งมาเพื่อปล่อยเช่าโดยเฉพาะ เปรียบเสมือน SA ดำเนินธุรกิจเป็นเจ้าของโรงแรมเองโดยตรง นอกจากจะทำรายได้ให้กับบริษัทฯ แล้ว ยังเป็นแผนการส่วนหนึ่งในการพัฒนาบริการของตนเองเพื่อดูแลลูกค้าที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ SA ด้วยเช่นกัน

แม้จะเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อตั้งมาเพียง 10 ปี แต่ SA ได้บริหารและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาแล้วมูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท และมีรายได้ในปีล่าสุดมากกว่า 3 พันล้านบาทเลยทีเดียว

จริงอยู่ว่า ทุกวันนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ประกอบกับในช่วงปีนี้ที่ COVID-19 ทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายรวมถึงการซื้อสินทรัพย์ชิ้นใหญ่ด้วย แน่นอนว่าอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น SA จึงอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวอยู่บ้างเพียงในระยะสั้น

สำหรับผลประกอบการในช่วงปี 2560 – 2562 และงวด 9 เดือนสิ้นสุด 30 กันยายน 2563 บริษัทฯ มีรายได้ จำนวน 1,480.1 ล้านบาท 2,084.3 ล้านบาท  3,525.2 ล้านบาทและ 2,060.6 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และมีการโอนกรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าที่เข้าซื้อทรัพย์สินในโครงการ

ส่วนกำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิในปี 2560 – 2562 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่จำนวน 51.5 ล้านบาท 163.4 ล้านบาทและ 502.6 ล้านบาทโดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 4.4 ร้อยละ 7.3 และร้อยละ 17.5 ตามลำดับโดยอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้างของโครงการใหม่ได้เป็นอย่างดี รวมถึงการทำกำไรของโครงการใหม่ ๆ ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ รวมไปถึงการออกแบบพื้นที่ของโครงการที่วางโครงสร้างไว้ให้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด

อย่างไรก็ตาม ด้วยกลยุทธ์การสร้างและพัฒนาที่อยู่อาศัยในแบบ Branded Residence จึงเปรียบเสมือนเป็นจุดขายอันแข็งแกร่งของบริษัทฯ เพราะต้องไม่ลืมว่า วิถีชีวิตของคนในปัจจุบันไม่ได้ต้องการเพียงแต่อสังหาริมทรัพย์หรือคอนโดมิเนียมที่สวย น่าอยู่ ราคาถูก และทำเลดี แต่บริการและความสะดวกสบายในระหว่างการอยู่อาศัยก็ไม่แพ้กัน มันคงจะดีไม่น้อยถ้าลูกค้าสามารถอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมของตัวเองแต่ได้รับความสะดวกไม่แพ้โรงแรมชั้นนำ

และเมื่อมีจุดเด่นที่สามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้แล้ว ก็มีโอกาสไม่น้อยที่ลูกค้าที่กำลังตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะอยู่อาศัยเอง ปล่อยเช่า หรือต้องการเช่าระยะสั้น จะต้องเห็นถึงจุดเด่นของ SA ในเรื่องความสะดวกสบายที่มากกว่าอสังหาริมทรัพย์ทั่ว ๆ ไป เป็นการสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้น

SA กำลังอยู่ในขั้นตอนจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO นี้ไปใช้กับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตและเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ต่อไป โดย SA จะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 150,000,000 หุ้น คิดเป็นประมาณร้อยละ 13.5 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://investor.siameseasset.co.th/th

บทความนี้เป็น Advertorial