ตัวช่วยลดหย่อนภาษีในตอนนี้ที่หลายคนกำลังพูดถึง คงหนีไม่พ้น SSFX ที่เป็นกองทุนรวมเพื่อการออมแบบพิเศษ และมีช่วงเวลาจำกัดของการลงทุน ซึ่งตอนนี้หลายคนกำลังสงสัยและตัดสินใจว่า จะซื้อดีไหม? และจะซื้อเท่าไรดี? ผมมีหลักการ 3 ข้อมาแนะนำกันครับ

1. เข้าใจสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่สำคัญก่อน

นั่นคือ เราสามารถซื้อกองทุน SSFX เพื่อลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาท โดยไม่มี % ของรายได้มากำหนดเพดานซื้อ และสิทธิประโยชน์ตรงนี้แยกออกจาก SSF ตัวปกติ และกลุ่มกองทุนเกษียณที่ไปรวมกันอยู่ในวงเงิน 500,000 บาทด้วย

แต่อย่างไรก็ดี สิทธิประโยชน์ตรงนี้มีตัวเร่งสำคัญที่ทำให้เราต้องตัดสินใจ คือ เราสามารถซื้อได้ภายใน 30 มิถุนายน 2563 นี้เท่านั้น และถ้าตัดสินใจซื้อแล้ว ต้องถือครองไปเป็นเวลา 10 ปีปฎิทินเต็ม เช่นเดียวกับ SSF ปกติ ถึงจะสามารถขายหน่วยลงทุนได้

2. เข้าใจฐานะการเงินของตัวเอง

ทั้งฐานภาษีที่ต้องเสีย และจำนวนเงินหมุนเวียนที่คงเหลืออยู่เพื่อให้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างคุ้มค่าที่สุด และยังมีสภาพคล่องเพียงพอต่อการใช้ชีวิต

ถ้าใครสามารถลองเช็คตัวเองได้ว่าเราจะประหยัดภาษีได้เท่าไรจากการลงทุนใน SSFX ก็เป็นทางออกที่ดีที่ช่วยตัดสินใจได้ครับ

ยกตัวอย่างเช่น นายบักหนอม เป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 1,500,000 บาท โดยมีประกันสังคมจำนวน 9,000 บาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 5% ของเงินเดือนทั้งปีจำนวน 75,000 บาท ถ้าเราลองเปรียบเทียบการวางแผนลดหย่อนภาษีทั้ง 3 กรณี ดังนี้

  1. กรณีแรก มีค่าลดหย่อนส่วนตัว + ประกันสังคม + กองทุนสำรองเลียงชีพตามปกติ โดยไม่ได้วางแผนภาษีเพิ่ม
  2. กรณีที่สอง มีการซื้อ RMF จำนวน 200,000 บาทเพิ่มจากกรณีแรก
  3. กรณีที่สาม มีการซื้อ RMF 200,000 บาท และ SSFX 200,000 บาทเพิ่มจากกรณีแรก

เมื่อนำมาคำนวณภาษีจะเห็นความแตกต่างดังนี้ครับ

จะเห็นว่าการวางแผนภาษีโดยมีค่าลดหย่อนส่วนนี้ จะช่วยให้ประหยัดภาษีได้มากขึ้นตาม % ของอัตราภาษีในแต่ละขั้น แต่อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุด คือการบริหารจัดการเงินสดให้เพียงพอในการวางแผนภาษีของเราด้วยนะครับ

3. เข้าใจว่าเราต้องการลงทุนแบบไหน

เพราะกองทุน SSFX มีให้เลือกหลากหลายนโยบายการลงทุน แต่อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน คือ ลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนใน SETไม่ต่ำกว่า 65% ของสินทรัพย์สุทธิ

นั่นแปลว่าเราต้องรับความเสี่ยงในการลงทุนได้เพื่อให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่มากกว่า และเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเราได้อย่างเหมาะสม

โดย 2 ข้อแรกที่ว่ามานั้น เป็นหลักการพื้นฐานของคนทุกคน แต่ข้อ 3 นั้นคือการมองในวิธีการตัดสินใจของรายบุคคลกันไปว่าชอบลงทุนแบบไหนอย่างไรมากกว่า

แต่อย่างไรก็ดี ถ้าสังเกตดู จะเห็นว่า SSFX ทั้งหมดมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทย แต่ใช้กลยุทธ์ในการลงทุนแตกต่างกันไป เพราะหุ้นไทยมีหลายกลุ่ม หลายประเภท ถ้าหากเราเข้าใจนโยบาย ความเสี่ยง โอกาสของผลตอบแทน และค่าธรรมเนียมต่างๆ ก็จะทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ

โดยการปรับลดลงของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา หลายคนมองว่าเป็นโอกาสที่น่าลงทุนในช่วงนี้ แต่ก็มีปัญหาที่คาใจอยู่คือ 10 ปีที่ต้องถือครอง SSFX ว่านานไปหรือเปล่า ถ้าดูจากผลตอบแทนของ SET100 ที่ผ่านมาเมื่อ 10 ปีก่อนก็จะเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทยอยู่ จริงไหมครับ?

โดยเหตุผลที่ผมยกตัว SET100 มาเปรียบเทียบ เพราะมองว่าหนึ่งในตัวเลือกการลงทุนใน SSFX นั้นมีทางเลือกในกองทุน Passive Fund ที่ลงทุนโดยอ้างอิงดัชนีของตลาด เน้นผลตอบแทนใกล้เคียงกับตลาดหุ้น โดยมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า

โดยหุ้นในกลุ่มนี้จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ เป็นผู้นำในหลากหลายอุตสาหกรรม จะมีข้อดีในแง่ความมั่นคงของบริษัทที่ไปลงทุน และการกระจายความเสี่ยงของกองทุนด้วย เพราะไม่ได้ลงทุนกระจุกตัวในอุตสาหกรรมใดเฉพาะเจาะจง ดังนั้นถ้าใครมองว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นไทยจะมีการเติบโตกว่า ณ วันนี้แน่นอน การเลือกลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในดัชนีก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจครับ

หนึ่งในกองทุน SSFX ที่ลงทุนในดัชนี กองทุน KFS100SSFX 

โดยกองทุนที่จะพามาทำความรู้จักเพิ่มเติมในบทความนี้ คือ กองทุน KFS100SSFX หรือ กองทุนเปิดกรุงศรี SET 100 – เพื่อการออมพิเศษ ที่เป็นกองทุน Passive Fund ค่าธรรมเนียมไม่แพง เน้นลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ตามดัชนี SET 100 และมีการพิจารณา “จ่ายปันผล” ให้นักลงทุนเป็นระยะๆ ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดจากการลงทุนด้วยครับ ลองมาดูรายละเอียดตามรูปนี้ได้เลยครับผม

โดยกองทุนนี้เปิดขายถึง 30 มิ.ย. 63 โดยมีโปรโมชั่นให้อีกต่อหนึ่งคือ เมื่อลงทุนใน SSFX รวมกับ SSF และ RMF ที่ร่วมรายการรับหน่วยลงทุน KFCASH-A มูลค่า 100 บาท ต่อยอดเงินลงทุนสะสมทุกๆ 50,000 บาท (โปรดศึกษารายละเอียดจากเอกสารของบริษัท)

รวมถึงสามารถซื้อกองทุนผ่านบัตรเครดิตในเครือกรุงศรีที่ร่วมรายการ (การซื้อหน่วยลงทุนจะไม่เข้าร่วมรายการส่งเสริมการขายและคะแนนสะสมบัตรเครดิต)

ดังนั้นถ้าใครมองว่าตัวเองผ่านเกณฑ์ 3 ข้อที่ว่ามา ลองศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ทีนี่ครับ ... https://www.krungsriasset.com/TH/News/Promotion/Krungsri_KFS100SSFX.html

สุดท้ายที่อยากฝากไว้สำหรับการลงทุนในกองทุน SSFX ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออม ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า  เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนการตัดสินใจลงทุน / ผู้ถือหน่วยลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากไม่ปฎิบัติตามเงื่อนไขการลงทุนนะครับ

บทความนี้เป็น Advertorial