ในบทความนี้ผมจะมาพูดถึงกองทุนรวมหุ้นประเภท Passive Fund นะครับ โดยเฉพาะกองทุนรวมดัชนีที่อ้างอิงดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ว่าผลตอบแทนของแต่ละที่จะเป็นอย่างไรกันบ้าง โดยส่วนตัวผมมองว่า กองทุนเหล่านี้เหมาะกับมือใหม่ด้วยนะ ขนาด Warren Buffett ปรมาจารย์การลงทุนยังแนะนำนักลงทุนให้ซื้อกองทุนเหล่านี้เลย
กองทุนดัชนีนั้นเป็นกองทุนที่ลงทุนบนความเชื่อว่า “ดัชนีของตลาดนั้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาว การบริหารกองทุนรวมนั้นก็เลยมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงดัชนีให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ไม่ต้องเจาะหุ้นรายตัวในตลาดว่าต้องอะไรกับตัวไหน ผู้จัดการกองทุนไม่ต้องยุ่งยากในการวิเคราะห์เพื่อซื้อหุ้นนั้นทีขายหุ้นนี้ที พูดง่ายๆ ก็คือไม่ต้องพึ่งความสามารถและรับความเสี่ยงของผู้จัดการกองทุนมาก เพราะฉะนั้นแล้วค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมหุ้นประเภทนี้โดยทั่วไปก็น่าจะถูกกว่าพวก Active Fund นะครับ
ทีนี้ผมเองก็เลยอยากเอาข้อมูลของกองทุนรวมดัชนีมาลองศึกษาดูนะครับ ก็เลยไปดูๆว่ามีธนาคารไหนที่มีกองทุนลักษณะนี้บ้าง โดยผมคัดเลือกกองทุนรวมที่หน้าตาใกล้ๆกันที่อ้างอิงดัชนี SET50 นะครับ ทีนี้ผมก็เลยเอาข้อมูลให้ดูธนาคาร/บลจ.ละ 1 กองทุนนะครับ สำหรับข้อมูลความเสี่ยงและข้อกำหนดเงินลงทุน ใช้ข้อมูลอ้างอิงจาก www.wealthmagik.com นะครับ
ก่อนอื่นจะขอบอกว่า ในการศึกษานี้ผมกำหนดไว้ดังนี้นะครับ
- ไม่เอากองทุนดัชนีที่อ้างอิง SET50 แต่เป็นนโยบายแบบ Active Fund
- ไม่เอากองทุนดัชนีที่อ้างอิง SET50 แต่ไปลงทุนในตลาดอื่นๆ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า
- บางกองทุนจะเป็นส่วนผสมเช่น Passive 80% Active 20% ผมจะถือว่าเป็น Passive นะครับ
- กองทุนอ้างอิงดัชนีอื่นๆ เช่น SET SET100 หรือ S&P และไม่รวม TDEX นะครับ
จะเห็นได้ว่ากองทุนดัชนี SET50 นั้นจะถูกจัดอยู่ในความเสี่ยงระดับ 6 เหมือนกันหมด นั่นคือความเสี่ยงสูงครับ ส่วนเนื้อหารายละเอียดปลีกย่อยนั้นจะเป็นอย่างไรในเชิงนโยบาย ลองอ่านในหนังสือชี้ชวนกันดูนะครับ
ทีนี้ผมเองก็อยากจะลองทำข้อมูล Back Test ดูเหมือนกันว่ากองไหนจะเป็นอย่างไรบ้าง มีความใกล้เคียงกันไหม เพราะถ้าผลตอบแทนไม่ได้ต่างกันมาก ก็สามารถเลือกซื้อได้ตามสะดวกเลยนะครับ โดยการ Back Test ของผมจะทำในระดับระยะสั้น 1 ปี และระยาว 5 ปี ซึ่งเอาข้อมูลมาจาก www.thaimutualfund.com นะครับ
ผลที่ได้ออกมา ดังตารางนี้ครับ
*หมายเหตุ : ข้อมูลของ T-SET50 นั้นมีไม่ถึงที่กำหนดเราจะ Back Test กันนะครับ เนื่องจากกองทุนนี้เปิดหลัง 4 มค 2555 นะครับ
จากตารางการทำ Back Test จะเห็นได้ว่า ในปี 2559 ทั้งปีนั้นเป็นขาขึ้น กองทุน Passive Fund ก็ให้ผลตอบแทนไม่น้อยนะครับ โดยเฉลี่ยๆแล้วจะเกิน 20% ทุกกองหากลงทุนต้นปีและถือถึงปลายปี แต่ถ้าเราไปดูในระยะยาวกว่านั้นเช่น 5 ปี จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนจะอยู่แถวๆ 50% เลยนะ คิดแบบง่ายๆไม่ซับซ้อนก็ตกปีละ 10% ได้เลย
ในกรณีที่ทำ DCA อาจจะมีการซื้อรายเดือน ผลตอบแทนคิดเป็น % อาจจะน้อยกว่าแต่มีการเติมเงินในพอร์ตเข้ามาเรื่อยๆทำให้พอร์ตใหญ่ขึ้นได้นะครับ แต่บทความนี้เราไม่ได้ทำ DCA ให้ดู ใครอยากลองต้องลองวิเคราะห์เพิ่มเติมนะครับ (หรือถือพี่ต้าร์ว่างๆ จะเอา DCA Simulation มาเพิ่มเติมให้ดูอีกที)
ข้างล่างนี้จะเป็นกราฟความเคลื่อนไหวของ NAV ของแต่ละกองนะครับ สังเกตได้ว่า Passive Fund นั้นโดยปกติแล้วมันจะเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันอาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในเรื่องผลตอบแทนนะครับ ถ้าใครอยากรู้ว่าดัชนีเคลื่อนยังไงลองเอา SET total return index มาเทียบได้เลยนะ
- ราคา 5 ปี
- ราคา 1 ปี
ตกลงซื้อกองไหนดี? ฮ่าๆ เอาเป็นว่ามุมมองของแต่ละคนคงต่างกันนะครับ บางคนมองที่ผลตอบแทนระยะยาว บางคนอาจจะอยากลงสั้นๆเลยมองระยะสั้น บางคนอาจจะบอกว่าเทียบกับ index ดีกว่า สูงเกิน index ก็ไม่ดี ขอแบบใกล้เคียงจริงๆ บางคนอาจจะบอกว่าต้องผลตอบแทนสูงกว่าชาวบ้านสิ
ก็เอาเป็นว่าเป็นข้อมูลอีกทางให้ได้เห็นนะครับ จะซื้อกองไหนแล้วแต่เลย แต่ต้องอย่าลืมนะครับว่าเรื่องนี้เป็นการทดสอบราคาย้อนหลังเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าผลตอบแทนจะเป็นแบบนี้เสมอไป ถ้าเรามองส่วนผลตอบแทนกองที่ผลตอบแทนน้อยกว่าอาจจะกลับมาชนะในปีต่อๆไปก็ได้นะครับ และการลงทุนนั้นมีความเสี่ยง ยิ่งกองทุนหุ้นยิ่งความเสี่ยงสูงเลย อย่าลืมประโยคที่ผมพูดเสมอว่า การลงทุนจะดีได้ก็ต้องวางแผนการเงินให้ดีก่อน ลองจัดสัดส่วนบริหารเงิน วางแผนจัดพอร์ตการลงทุนก่อนนะครับ
หากสนใจที่จะลงกองทุนหุ้นแล้วก็ไปติดต่อที่ธนาคารที่กองทุนนั้นขาย หรืออาจจะติดต่อเพื่อนที่ขายกองทุนรวมพร้อมเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้เขาช่วยแนะนำได้นะครับ
*ข้อมูลที่นำมาเผยแพร่เป็นการนำมาใช้ในกรณีศึกษาในเวปไซต์ aomMONEY เท่านั้น ทางผู้เขียนไม่ขอรับผิดชอบหากนำไปใช้อ้างอิงใดๆแล้วเกิดความเสียหาย หากผู้อ่านต้องการเช็คข้อมูลโปรดสอบถามเพิ่มเติมกับทาง บลจ.
สู้ๆ ขอให้ร่ำรวย